วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ชาวสะมาเรียผู้ใจดี

ชาวสะมาเรียผู้ใจดี
คำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี เป็นคำอุปมาที่ให้แนวทางปฏิบัติและให้คำตอบต่อปัญหาในการดำเนินชีวิตมากที่สุด  เป็นต้นความรอดสำหรับชนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว อันเป็นจุดประสงค์ของลูกาและมีเพียงลูกาคนเดียวเท่านั้นที่บันทึกเรื่องนี้ไว้
1.   ฉากของเรื่อง
ฉากของเรื่องนี้เกิดขึ้นบนถนนสายเยรูซาเล็มไปเมืองเยรีโค  ถนนสายนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเส้นทางอันตรายสำหรับคนเดินทาง  เนื่องจากเยรูซาเล็มเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขา อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,300 ฟุต  ส่วนเมืองเยรีโคตั้งอยู่ใกล้ทะเลตาย ซึ่งเราทราบว่าทะเลตายอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 1,300 ฟุต 
ถนนสายนี้จึงเป็นถนนที่ดิ่งจากระดับความสูง 3,600 ฟุต ระยะทางประมาณ 20 ไมล์ หรือ 32 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่คดเคี้ยวและแคบจึงเป็นชัยภูมิที่เหมาะสำหรับโจรในการหลบซ่อนและปล้นสะดมคนเดินทางผ่านไปมา  ในศตวรรษที่ 5 เชอโรม บอกว่าถนนสายนี้ยังคงเรียกกันว่า ทางสีแดงหรือทางเลือด  แม้ในสมัยปัจจุบันคนเดินทางยังต้องจ่ายเงินเพื่อขอความคุ้มครอง
2.   บุคคลในเรื่อง
คนแรก คนเดินทางที่ได้รับบาดเจ็บ อาการสาหัส เกือบสิ้นชีวิต  เราเห็นอย่างหนึ่งคือเขาเป็นคนประมาทและไม่ระมัดระวังตัว  รู้ทั้งรู้ว่าถนนสายนี้เป็นเส้นทางโจรแต่ยังเดินทางคนเดียว  ปกติจะไม่มีใครทำอย่างนั้น
คนที่สอง สมณะหรือปุโรหิต  ซึ่งมีหน้าที่ในการถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร  ในรอบหนึ่งปีมีสมณะที่ทำหน้าที่ 24 ชุด  แต่ละชุดจะทำหน้าที่รับใช้ในพระวิหาร 2 ครั้งๆ ละ 1 สัปดาห์  สมณะที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่มีอยู่ในเมืองเยรีโคหลายคน  ดังเช่นสมณะที่กล่าวถึงในเรื่อง
สมณะคนดังกล่าวคงจะกำลังเดินทางไปทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร เมื่อเหลือบไปเห็นชายบาดเจ็บ จึงเดินข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งแล้วเดินจากไป  ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเป็นมลทิน เพราะชาวยิวมีข้อห้ามว่า ผู้ที่แตะต้องคนตายจะเป็นมลทินอยู่ 7 วัน (กดว 19:11) ซึ่งจะทำให้เขาพลาดการอยู่เวรประจำสัปดาห์ในพระวิหาร ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต 
เขาอาจจะรู้สึกสงสารคนที่บาดเจ็บ แต่ไม่แน่ใจว่าตายหรือยัง จึงไม่กล้าไปตรวจดูเพราะถ้าเกิดชายคนนั้นตายขึ้นมาจริงๆ การไปแตะต้องศพจะทำให้เขาเป็นมลทิน ไม่สามารถทำหน้าที่ในพระวิหารได้  เท่ากับว่าสมณะคนดังกล่าวถือเอาเรื่องการทำหน้าที่ในพระวิหาร สำคัญยิ่งกว่าเสียงเรียกร้องแห่งมนุษยธรรม
คนที่สาม ชาวเลวี ซึ่งมีหน้าที่รับใช้ในพระวิหารเช่นกัน กิริยาอาการของเขามีความแตกต่างจากสมณะอยู่บ้าง  เขาเดินผ่านมา และดูเหมือนจะหยุดดูอยู่แวบหนึ่ง ก่อนรีบร้อนเดินจากไปยังอีกฟากหนึ่ง คำอธิบายที่อาจเป็นไปได้คือ เขาคิดว่าโจรใช้คนเป็นเหยื่อล่อทำเป็นบาดเจ็บ หากหลงกลยอมช่วยเหลืออาจจะถูกปล้นได้  เขาเห็นว่า “เป็นการเสี่ยงมากเกินไป” แม้ว่าอยากจะช่วยก็ตาม
คนสุดท้าย ชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นที่เกลียดชังของชาวยิว  ทั้งๆ ที่แต่เดิมเป็นชนชาติเดียวกัน  หลังสิ้นกษัตริย์ซาโลมอน อาณาจักรอิสราแอลได้แตกแยกออกเป็น 2 อาณาจักรคือ อาณาจักรเหนือ มีเมืองหลวงอยู่ที่สะมาเรีย และอาณาจักรใต้มีเมืองหลวงคือ เยรูซาเล็ม 
ปี 722 ก่อน ค.ศ. อาณาจักรเหนือได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรีย ได้มีการกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยและนำคนต่างชาติเข้ามาอยู่แทน  พวกที่เหลืออยู่ได้แต่งงานกับคนต่างชาติและหันไปนับถือรูปเคารพของชนต่างชาติ  ชาวยิวทางใต้จึงถือว่าพวกนี้ไม่มีเลือดยิวบริสุทธิ์
ต่อมาปี 587 ก่อน ค.ศ. อาณาจักรใต้ได้ประสบชะตากรรมเดียวกัน และถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่พวกเขายังคงรักษาความเป็นชาติและศาสนาของตนอยู่  เมื่อเปอร์เซียรบชนะบาบิโลน ได้ปลดปล่อยชาวยิวกลุ่มนี้ให้กลับไปสร้างเมืองและพระวิหารที่ถูกทำลายขึ้นใหม่ (ในสมัยเอสราและเนหะมีย์) 
ชาวสะมาเรียได้เสนอตัวที่จะช่วยเหลือแต่กลับถูกปฏิเสธอย่างดูแคลน เพราะในสายตาของชาวยิวถือว่าชาวสะมาเรียได้เสียสิทธิ์ความเป็นยิวแล้ว  ตั้งแต่นั้นมาทั้งชาวยิวและชาวสะมาเรียก็เป็นศัตรูที่มีความขมขื่นต่อกัน 
ในพระวรสารเราจึงได้ยินเรื่องที่ยากอบและยอห์น ทูลขอไฟจากฟ้ามาเผาพลาญหมู่บ้านชาวสะมาเรีย ที่ไม่ยอมให้ที่พักและต้อนรับพระเยซูเจ้า เมื่อรู้ว่าพระองค์เป็นยิว คือกำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม  ดังนั้น เมื่อพระเยซูเจ้านำชาวสะมาเรียเข้ามาในเรื่อง ผู้ฟังรู้ได้ทันทีว่า “ผู้ร้าย” ได้เข้ามาในฉากแล้ว
อันที่จริง เป็นการยากอยู่เหมือนกันที่จะบอกว่าเขาเป็นชาวสะมาเรียโดยเชื้อชาติ แต่สิ่งที่เราทราบอย่างแน่นอนคือ เขาเป็นพ่อค้านักเดินทาง เพราะเขาได้แวะพักที่โรงแรมเป็นประจำ จนคนในโรงแรมจำได้และเชื่อถือว่าเขาจะกลับมา  คำถามที่เกิดขึ้นคือ ถ้าชายคนนี้เป็นชาวสะมาเรียจริง เขาไปทำอะไรที่กรุงเยรูซาเล็ม ทั้งนี้เพราะชาวยิวไม่คบค้ากับชาวสะมาเรีย  จึงเป็นไปไม่ได้ที่ชาวสะมาเรียจะมาทำธุรกิจที่กรุงเยรูซาเล็ม
คำว่า ชาวสะมาเรีย ในที่นี้จึงเป็นคำที่ใช้แสดงความเกลียดชังและเหยียดหยามคนที่ละเมิดบทบัญญัติและคนนอกศาสนา  ใครที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติจะถูกตราหน้าว่าเป็น ชาวสะมาเรีย คำอุปมานี้ได้วาดภาพคนเคร่งศาสนาว่าเดินผ่านไปยังถนนอีกฟากหนึ่ง ขณะที่คนนอกรีตที่เขาชิงชังว่าเป็นคนบาป เป็นคนเดียวที่ช่วยชายบาดเจ็บไว้
3.  คำตอบของคำอุปมา
ในจำนวนคำอุปมาทั้งหมดของพระเยซูเจ้า  คำอุปมานี้เกี่ยวข้องกับภาคปฏิบัติมากที่สุด  อาจกล่าวได้ว่าเป็นบทสรุปคำสอนในภาคปฏิบัติของพระเยซูเจ้าก็ว่าได้  และได้ให้คำตอบต่อปัญหาของนักกฎหมาย 2 ข้อด้วยกัน
ข้อแรก ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า คำตอบของคำอุปมานี้คือ ใครก็ได้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สำหรับชาวยิวแล้วเป็นสิ่งที่สะดุดอย่างมาก เพราะพวกเขาจะช่วยเฉพาะชาวยิวด้วยกันเท่านั้น 
ตัวอย่าง กฎวันสะบาโตข้อหนึ่งกำหนดว่า ถ้าในวันสะบาโตเกิดมีกำแพงล้มทับคน ควรมีการขุดรากพอให้ดูรู้ว่าคนเจ็บเป็นยิวหรือต่างชาติ  ถ้าเป็นยิวเขาจะได้รับการช่วยชีวิต แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติจะถูกทิ้งให้ทนทุกข์ต่อไป
เราทำเช่นนี้บ้างหรือเปล่ากับเพื่อนพระสงฆ์ด้วยกันหรือกับสัตบุรุษที่เราดูแล  ช่วยเฉพาะพวกพ้อง พี่น้องของเรา คนที่เรารู้จักชอบพอ หรือคนที่มีผลประโยชน์สำหรับเรา กี่ครั้งที่เราได้เดินผ่านคนที่ทุกข์ยาก เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ โดยอ้างว่า คนเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรา
ข้อสอง คำอุปมานี้ได้ให้คำตอบที่เป็นนัยต่อคำถามที่ว่า ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนอย่างไร คำตอบก็คือ จงมีความสงสารที่สำแดงออกในรูปของการช่วยเหลือ  ไม่ต้องสงสัยว่าทั้งสมณะและชาวเลวีได้เกิดความสงสารคนบาดเจ็บ แต่เขาไม่ได้กระทำอะไรที่แสดงความสงสารออกมาในรูปของการช่วยเหลือ
นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ได้กล่าวเอาไว้ว่า ความเชื่อในภาคปฏิบัติคือ ความรัก และความรักในภาคปฏิบัติคือ การรับใช้ การช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อนจึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม
4.  บทเรียนสำหรับเรา
ประการแรก เรามีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าเขาจะประสบความเดือดร้อนเพราะความผิดพลาดของเขาเอง  เราเห็นชัดว่าคนเดินทางที่บาดเจ็บเป็นคนประมาท เดินทางคนเดียวลำพังในเส้นทางที่รู้ดีอยู่แล้วว่าอันตราย  ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีพร้อม ไม่เคยผิดพลาดเลย เราเองเป็นคนบาปคนหนึ่ง ผิดพลาดเป็นประจำ  บางครั้งความผิดพลาดนั้นหนัก เกือบสิ้นชีวิต ในสภาพเช่นนี้แหละที่เราต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน การพึงพาช่วยเหลือกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ประการที่สอง การช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนเป็นหลักปฏิบัติสำคัญอันดับแรก เราเห็นสมณะมีใจจดจ่อกับการปฏิบัติหน้าที่ตามจารีตพิธีในพระวิหาร ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดเรื่องการเป็นมลทิน จนลืมความต้องการของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ศาสนาสำหรับเขาจึงเป็นแต่เพียงการถือปฏิบัติตามจารีตพิธีอย่างครบถ้วนไม่มีที่ติ  แต่ขาดมิติของชีวิตคือ ความสัมพันธ์กับเพื่อนพี่น้อง
แน่นอนว่าความรับผิดชอบต่อการงานหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญ การถือตามระเบียบกฎเกณฑ์เป็นสิ่งจำเป็น  แต่บางครั้งเราต้องยอมทิ้งสิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม เพราะนั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราขณะนั้น  
ประการที่สาม เราต้องช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนแม้ว่าจะต้องเสี่ยง  ชาวเลวีไม่ยอมเสี่ยงเพราะเกรงว่าตนเองจะติดร่างแหไปด้วย  หากหมอไม่ยอมช่วยคนไข้เพราะกลัวติดโรคจะไม่มีการรักษาเกิดขึ้น  แต่หมอทั้งหลายยอมเสี่ยง  เราเป็นหมอฝ่ายวิญญาณ เป็นบุรุษแห่งความเมตตา ที่บวชมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือ
เหตุผลหนึ่งที่เราไม่กล้าเสี่ยง เป็นเพราะเราไม่อยากเดือดร้อนไปด้วย คิดคำนวณดูแล้วเห็นว่าไม่คุ้ม ทำให้เราเสียงาน เสียอารมณ์ เสียเวลา ที่สำคัญคือ เสียเงิน  แต่พระเยซูเจ้าสอนเราว่า อย่าชั่งน้ำหนัก อย่าคำนวณ แต่จงยอมแพ้ต่อความรัก
ประการสุดท้าย บทเรียนและแง่คิดของชาวสะมาเรีย  ไม่ว่าเขาจะเป็นชาวสะมาเรียโดยเชื้อชาติที่ชาวยิวถือว่าเป็นคนบาป หรือเป็นคนนอกรีต คนใช้ชีวิตเสเพล ที่ไม่ถือตามบทบัญญัติ ชื่อเสียงไม่ดี ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ  แต่เขาได้กระทำในสิ่งที่คนเคร่งศาสนา ชื่อเสียงดี มีเกียรติภูมิไม่ทำกัน
พระเยซูเจ้าทรงบรรยายว่าเขาเป็นคนที่ช่วยเหลือชายบาดเจ็บที่เกือบสิ้นชีวิต  เขากระทำในสิ่งที่ให้ชีวิต  เข้าไปหาชายบาดเจ็บ ปลอบโยน พันแผลให้ ช่วยพยุงขึ้นหลังสัตว์ เป็นธุระจัดการเรื่องที่พัก และจัดหาคนดูแล
เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อ ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งอำนาจ ที่จะช่วยให้เขาได้รับสิทธิพิเศษ  เขาเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางตามลำพัง ไม่ได้มีทรัพย์สินมาก ไม่มีสิ่งใดนอกจากถุงอานม้าและสัตว์ที่เขาขี่มา  แต่ ตาของเขาช่างสังเกต และหัวใจของเขาเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า
เขาได้กระทำในสิ่งที่เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ ด้วยการเดินไปหาคนที่บาดเจ็บ เขารู้สึกสงสารและรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคนบาดเจ็บคนนี้  การที่ต้องดูแลคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทำให้แผนการของเขาหยุดชะงัก รวมทั้งโครงการทั้งหมดของเขา  แต่ความห่วงใยในชีวิตของผู้อื่นที่กำลังตกอยู่ในอันตรายมีความสำคัญเหนือแผนการของเขา
เขาเป็นคนแปลกหน้า มีความเชื่อทางศาสนาต่างกัน ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือชาติพันธุ์ที่บังคับให้เขาต้องทำอย่างนั้น  แต่เขาได้ช่วยเหลือคนบาดเจ็บและทำตัวเป็นผู้ดูแลดุจพี่น้องของเขา  เขาตีความพระบัญญัติประการที่ 5 อย่าฆ่าคน ว่าหมายถึง ท่านต้องทำสิ่งที่ทำได้เพื่อให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในความเป็นจริงไม่ว่ายุคใด คนอย่างชาวสะมาเรียได้กระทำในสิ่งที่น่ายกย่อง และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีต่อสังคม ประเทศชาติ และพระศาสนจักร  จึงขอให้กำลังใจพวกเราทั้งหลาย เป็นต้นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือถูกมองว่าไม่ดี อย่าได้ท้อใจ เพราะพระเจ้าทรงเลือกคนบาปเช่นนี้แหละให้ทำในสิ่งที่คนดีไม่ทำ เพื่อจะได้เข้าใจคนบาปด้วยกันและชักนำพวกเขาให้กลับมาหาพระเจ้า
บทสรุป       
ชาวสะมาเรียผู้ใจดีคือภาพที่ชัดเจของ “พระเยซูเจ้า ชาวสะมาเรียผู้ยิ่งใหญ่” ผู้เสด็จมาเพื่อตามหาคนบาป ช่วยเหลือคนทุกข์ยากเดือดร้อน และยอมรับความตายบนไม้กางเขนเพื่อช่วยทุกคนให้รอด ให้เราก้าวเดินไปพร้อมกับพระองค์ ในเส้นทางแห่งการรับใช้ที่เราได้เลือก ด้วยดวงตาและหูที่เปิดกว้าง โดยมีเข็มทิศแห่งความเมตตาเป็นเครื่องนำทาง
ให้เรายอมให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเยซูเจ้า เพื่อเราจะตัดสินได้ว่ามีสิ่งไหนที่เราสามารถทำได้ เพื่อทำให้คนที่ เกือบสิ้นชีวิต ที่เราพบในชีวิตประจำวันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ รู้จักแบ่งปัน และช่วยเหลือผู้อื่นลำบากเดือดร้อน ทั้งนี้เพราะ “หัวใจที่มีความสุขมากที่สุดคือ หัวใจที่เต้นเพื่อผู้อื่น”
ขอให้คำสั่งของพระเยซูเจ้าที่ว่า จงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด ปลุกเร้าหัวใจของเรา ให้ทำเช่นเดียวกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แน่ใจได้ว่า เส้นทางสายชีวิตนิรันดรได้เปิดกว้างอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว  ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า เราจะเลือกเดินตามเส้นทางสายนี้หรือไม่
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
Majus Seminarium, J.M. Vianne, Thakhaek
23 กุมภาพันธ์ 2017

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น