วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อิตาลีรำลึก (จบ)


รายได้จากการท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักที่สำคัญของประเทศอิตาลี จะบอกว่ารัฐบาลอิตาลีปัจจุบันกินบุญเก่าของอาณาจักรโรมันในอดีตคงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะล่องรอยทางอารยธรรม ศิลปวัฒนธรรมและการปกครองในยุคโรมันโบราณ ที่พบเห็นทั่วไปในอิตาลีได้สร้างรายได้มหาศาลแก่ประเทศและชาวอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรุงโรมซึ่งเต็มไปด้วยโบราณสถานล้ำค่ามากมาย ได้ทำให้อมตะนครแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวสีสันและกลายเป็น “นครที่ไม่มีวันตาย”
โคโลเซียม หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ทุกคนรู้จัก
1.     โคโลสเซียม

โคโลสเซียม (Colosseum) หรือที่ชาวอิตาลีเรียกว่า โคโลเซว (Coloseo) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโรมัน แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ทางด้านการออกแบบ สถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของชาวโรมันเมื่อเกือบสองพันปีก่อน ที่สามารถสร้างสิ่งยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ และได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ทุกคนรู้จัก ถือเป็นหน้าตาและสัญลักษณ์ของกรุงโรมที่ใครต่อใครต้องมาแวะ มิฉะนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงกรุงโรม โคโลเซวจึงไม่เคยว่างเว้นนักท่องเที่ยว


โคโลเซว ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของโรมันฟอรั่ม (Romano Foro) สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 70-72 สมัยจักรพรรดิเวนปาเซียน (Vespasian) เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 80 สมัยจักรพรรดิทิตุส (Titus) และได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมในสมัยของจักรพรรดิโดมิเซียน (Domitian) สามารถบรรจุผู้ชมได้ 50,000 คน ใช้เพื่อความบันเทิงในการชมการแข่งขันการต่อสู้ของเหล่านักสู้ที่เรียกว่า กลาดิเอเตอร์” (Gladiators) และชมการแสดงต่างๆ นอกจากนี้ โคโลเซวยังใช้เป็นที่ประหารชีวิตนักโทษ ทั้งนักโทษการเมือง เชลยสงครามและนักโทษทางศาสนา ซึ่งหมายถึงบรรดาคริสตชนที่ถูกโรมันเบียดเบียนเป็นเวลากว่า 200 ปี

กล่าวกันว่ามีผู้คนประมาณ 5 แสนคนที่ต้องจบชีวิต ณ สนามแห่งนี้ นับตั้งแต่จักรพรรดิเนโรกล่าวหาว่าคริสตชนเป็นผู้เผากรุงโรมในปี ค.ศ. 60 คริสตศาสนาได้กลายเป็นศาสนาต้องห้ามและมีโทษประหารชีวิต คริสตชนต้องหลบซ่อนตัวตามอุโมงค์ใต้ดินที่เรียกว่า กาตากอมป์” (Catacomba) การเบียดเบียนศาสนาสิ้นสุดในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน หลังจากได้รับชัยชนะจากสงครามอย่างอัศจรรย์ด้วยเครื่องหมายกางเขนบนท้องฟ้า และได้ประกาศให้คริสตศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของอาณาจักรโรมันในปี ค.ศ. 305


ส่วน โรมันโฟรั่ม คือซากเมืองเก่าโบราณซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ในอดีต ตามตำนานเล่าขานกันว่าพี่น้องฝาแฝดที่ชื่อโรมูลุสและเรมุส (Romulus et Remus) เป็นผู้สร้างกรุงโรมตรงจุดนี้เมื่อวันที่ 21 เมษายน ในปี 753 ก่อนคริสตกาล โดยใช้เวลาในการก่อสร้างนานหลายปี ทำให้คิดถึงสำนวนที่ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ทุกอย่างต้องใช้เวลาและความเพียรพยายามกว่าจะประสบผลสำเร็จหรือเจริญเติบโตถึงขีดสุด แต่ที่สุดแล้วก็ถึงคราวเสื่อมสลายตามกาลเวลา เหลือไว้แต่เพียงซากปรักหักพังอันแสดงถึงรุ่งเรืองในอดีต นี่คือสัจธรรมที่แสดงถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง
น้ำพุเทรวี น้ำพุที่ใหญ่และสวยงามที่สุดและเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรม
2.     น้ำพุเทรวี

น้ำพุเทรวี (Trevi) เป็นน้ำพุที่ใหญ่และสวยงามที่สุดจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรม ชื่อ “เทรวี” มาจากคำ Tre vie ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า ถนน 3 สาย น้ำพุแห่งนี้สร้างตรงจุดเชื่อมต่อของถนน 3 สาย และเป็นจุดปลายทางของท่อส่งน้ำที่มีชื่อว่า อากวา วีร์โก” (Aqua Virgo) เล่ากันว่าทหารโรมันได้รับคำสั่งให้หาแหล่งน้ำ เด็กหญิงคนหนึ่งได้ชี้ให้มาพบแหล่งน้ำนี้ ปรากฏว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์คุณภาพดี จึงได้ชื่อว่า น้ำแห่งผู้บริสุทธิ์ หรือ Aqua Virgo นับเป็นท่อส่งน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงโรมที่ส่งไปเลี้ยงกรุงโรมไกลถึง 13 กิโลเมตร ท่อส่งน้ำนี้ใช้งานตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง จนกระทั่งถูกพวกโกธ (Goth) เข้าปล้นกรุงโรมได้ทำลายไปในปี ค.ศ. 537-538 ตามปกติแล้วชาวโรมันจะสร้างน้ำพุไว้บริเวณปลายทางของท่อส่งน้ำ

น้ำพุเทรวี เป็นศิลปะแบบบารอค (Baroque) ซึ่งเน้นความสง่างามและความยิ่งใหญ่ พระสันตะปาปา นิโคลาส ที่ 5 ซ่อมแซมท่อส่งน้ำนี้ขึ้นมาใช้การใหม่ในปี ค.ศ. 1453 และได้สร้างน้ำพุขึ้นมา  พระสันตะปาปา อูร์บาโน ที่ 8 ได้ให้ ปิเอโตร แบร์นินี (Pietro Bernimi: 1562-1629) ออกแบบบูรณะน้ำพุแห่งนี้ให้ดูตระการตามากขึ้นในปี ค.ศ. 1629 แบร์นินีได้ขยายน้ำพุให้หันหน้าไปยังพระราชวังฤดูร้อนของพระสันตะปาปา (Quirinale) (ปัจจุบันเป็นที่พำนักของประธานาธิบดีอิตาลี) ต่อมานิโกลา ซัลวี (Nicola Salvi: 1697-1751) ออกแบบและต่อเติมน้ำพุนี้ให้เป็นศิลปะแบบบารอคในปี ค.ศ. 1732-1762 ส่วนปราสาทด้านหลังของน้ำพุเป็นปราสาทประจำตระกูลคอนติ (Conti) มีตำแหน่งเป็นท่านดยุ๊ค (Duke)

พูดถึงตำนานเกี่ยวกับน้ำพุเทรวีมีหลายเรื่อง แต่ตำนานที่เล่าอยู่ในหลักสูตรและในตำราเรียนของอิตาเลียนมีว่า “ผู้ใดปรารถนาจะพบรักแท้ ให้โยนเหรียญ 1 เหรียญ (เลข 1 แทนรักเดียวใจเดียว), ผู้ใดปรารถนาจะได้โชคลาภ ให้โยนเหรียญ 2 เหรียญ (เลข 2 มีความหมายเท่ากับทวีคูณ) และผู้ใดปรารถนาจะกลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง ให้โยนเหรียญ 3 เหรียญ (เลข 3 หมายถึงนิรันดรกาลตามความหมายในพระคัมภีร์)” ด้วยความเชื่อตามตำนานดังกล่าว นักท่องเที่ยวที่มาเยือนน้ำพุเทรวีต้องหันหลังโยนเหรียญลงไปในน้ำพุทุกครั้งไป

ตลอดเวลาสองปีที่ผู้เขียนเรียนที่กรุงโรม ได้แวะเวียนมาที่น้ำพุแห่งนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยโยนเหรียญลงไปเลยสักครั้งเดียว ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียวคือ ไม่มีเงิน แต่ถึงกระนั้นยังได้มีโอกาสกลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง (แสดงว่าตำนานดังกล่าวจึงไม่น่าจะจริง) แต่ที่จริงแท้แน่นอนคือ มีคนโยนเหรียญลงในน้ำพุเฉลี่ยวันละ 3,000 ยูโร เป็นจำนวนเงินที่มากพอสำหรับสร้างประโยชน์แก่สังคมได้ นี่คือเหตุผลที่ยังคงต้องมีตำนานดังกล่าวอยู่ถึงทุกวันนี้
 
ส่งท้าย

การไปแสวงบุญฝรั่งเศสและอิตาลีครั้งนี้ ทำให้นึกถึงสำนวนภาษาฝรั่งเศสบทหนึ่งที่เคยเรียนเวลาเป็นเด็ก Le voyage forme la geneses.” แปลว่า การเดินทางช่วยกล่อมเกลาเยาวชน เด็กๆ ย่อมสนุกกับการเดินทางเพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน แม้ผู้เขียนและคณะที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันจะเลยวัยเยาว์กันมานานมากแล้ว แต่การได้เดินทางไปแสวงบุญต่างแดน ได้พบเห็นสถานที่ บุคคลและวัฒนธรรมที่ต่างออกไป ย่อมเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นและช่วยเพิ่มพูนความเชื่อศรัทธาของตน ได้ไม่น้อยเช่นกัน
 บันไดสเปนและที่พำนักของประธานนาธิบดีอิตาลี
 
ขอบคุณเป็นพิเศษ คุณแม่โดนาตา พีรพงศ์พิพัฒน์ มหาธิการิณีคณะรักกางเขนแห่งท่าแร่ ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ผู้เขียนให้ร่วมเดินทางไปกับคณะด้วย แต่ละแห่งที่ไปและเรื่องราวที่กล่าวถึง เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งที่ได้รับรู้จากการศึกษาค้นคว้าและเห็นมา จึงนำมาแบ่งปันแบบเล่าสู่กันฟัง อาจไม่สมบูรณ์หรือมีสีสันเหมือนมืออาชีพ แต่ถือเป็นสิ่งละอันพันละน้อยและของฝากจากแดนไกลสำหรับคนที่ยังไม่เคยไปมาก่อน และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เตรียมตัวจะเดินทางไปเยี่ยมชมในอนาคตข้างหน้าได้บ้าง

กล่าวกันว่า หากอิฐแต่ละก้อนที่ทับซ้อนกันเป็นซากปรักหักพังของโบสถ์วิหารหรือกำแพงเมือง ในแต่ละแห่งมีชีวิต คงสามารถบอกเล่าเรื่องราวและความจริงที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนให้เราได้ทราบมากกว่านี้ และด้วยข้อจำกัดของสติปัญญามนุษย์ อีกทั้งเวลาและหน้ากระดาษที่ไม่เอื้ออำนวย จึงไม่สามารถนำมากล่าวถึงในที่นี้ได้ทั้งหมด แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ของการแสวงบุญ แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นและชวนศรัทธา เมื่อถึงคราวที่จะต้องกล่าวคำอำลาและจากบุคคลหรือสถานที่แห่งนั้น ย่อมเป็นเวลาแห่งความเจ็บปวดและโศกเศร้าเสมอ ดังสำนวนภาษาฝรั่งเศสที่ว่า “Partir c'est mourir un peu.” ลาก่อนอิตาลี Ciao Italia!
Don Daniele เรียบเรียง/ภาพ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น