วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ท่านละว่าเราเป็นใคร


ท่านละว่าเราเป็นใคร

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา
ปี C
2 ศคย 12:10-11
กท 3:26-29
ลก 9:18-24

บทนำ

 มีเรื่องเล่าว่า ขณะที่เด็กหนุ่มวัย 15 ปีพร้อมกับพ่อของเขากำลังขับรถผ่านสนามบินเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐโอไฮโอ ทันใดนั้นเขาเห็นเครื่องบินฝึกหัดลำหนึ่งเสียการควบคุมขณะแล่นลงจอด เขาร้องบอกพ่อให้หยุดรถและเข้าไปช่วยเหลือ ทั้งสองช่วยกันดึงร่างนักเรียนฝึกบินวัย 20 ปี ออกจากตัวเครื่อง เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก นักบินฝึกหัดคนนั้นได้สิ้นใจในอ้อมแขนของเขา

เมื่อเด็กหนุ่มคนนี้กลับถึงบ้าน เขาโผเข้ากอดแม่และร้องไห้ เขาบอกแม่ว่า นักบินฝึกหัดคนนั้นคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนการบินของเขาเอง เขาได้ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานไปเข้าเรียนที่โรงเรียนการบิน โดยมีความมุ่งมั่นว่าจะได้ใบอนุญาตขับเครื่องบิน และเป็นนักบินเมื่อโตขึ้น แต่เหตุการณ์วันนั้นสะเทือนใจเขามาก ทำให้เขาเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวในห้อง พ่อกับแม่ต่างคิดว่าเขาคงล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักบินแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น แม่ของเด็กคนนี้ได้เข้าไปในห้องของเขาและพบสมุดบันทึกที่เปิดทิ้งไว้ เธอพบข้อความที่เขียนในหน้าหนึ่งว่า “ลักษณะของพระเยซูเจ้า” พร้อมกับข้อความที่ให้รายละเอียดด้านล่างว่า “พระเยซูไม่มีบาป สุภาพอ่อนโยน เป็นขวัญใจคนจน เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า...” แม่เข้าใจทันทีว่า ลูกชายได้หันหน้าพึ่งพระเยซูเจ้าเพื่อให้พระองค์ทรงนำทาง

เด็กหนุ่มคนนี้คือ นีล อาร์มสตรอง มนุษย์คนแรกที่เดินบนดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 ซึ่งมีการถ่ายทอดสดกลับมายังโลก เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไปถึงจุดนั้นคือพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นพละกำลังและนำทางเขาในช่วงเวลาของความยากลำบากจากเหตุการณ์ที่เขาเผชิญในวัยหนุ่ม เรื่องนี้ ยังได้ให้คำตอบต่อคำถามของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ว่า “ท่านละว่าเราเป็นใคร”

1.     ท่านละว่าเราเป็นใคร

นีล อาร์มสตรอง ได้ตอบคำถามนี้อย่างซื่อๆ ว่า “พระองค์ไม่มีบาป พระองค์ไม่เห็นแก่ตัว พระองค์คือคนที่คิดถึงผู้อื่น...” เป็นคำตอบที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ และจากประสบการณ์ของเขาเองที่มีกับพระเยซูเจ้า เราแต่ละคนต้องทำเช่นเดียวกัน  เราต้องตอบคำถามของพระเยซูเจ้า “ท่านละว่าเราเป็นใคร” จากประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของเรากับพระองค์ การได้ชื่อว่าเป็นคริสตชน คือการมีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า  เป็นการค้นพบด้วยตนเองว่า พระเยซูเจ้าเป็นใคร และมีความหมายต่อชีวิตเราอย่างไร

สำหรับบางคน พระเยซูเจ้าคือผู้นำทางที่เขาสามารถมาหา เพื่อพึ่งพาการนำทางของพระองค์ได้ในช่วงเวลาของความสับสนวุ่นวายในชีวิต สำหรับบางคน พระองค์คือพละกำลังที่สามารถทำให้เขามีความเข้มแข็งในช่วงเวลาของการทดลอง แต่เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์คือบุคคลที่เข้าใจเราและอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่เคยทอดทิ้งเรา แม้ในห้วงเวลาที่เราไม่เข้าใจตัวเราเองหรือไม่ต้องการพระองค์เลยก็ตาม หากเราไม่รู้จักพระองค์ด้วยตัวเราเอง ก็เท่ากับว่าเรากำลังลดระดับศาสนาของเราให้เป็นเพียงเทพนิยายที่เล่าสืบต่อกันมา

ในส่วนที่สองของพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเรา ด้วยการประกาศกับบรรดาศิษย์ว่า  พระองค์จะทรงรับทนทรมาน ถูกปฎิเสธและสิ้นพระชนม์ หนทางที่พระองค์ได้เลือกคือหนทางแห่งไม้กางเขน กางเขนจึงเป็นหนทางของผู้ที่ปรารถนาจะติดตามพระองค์ทุกคน ดังนั้น พระศาสนจักรจึงประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขน (ดู 1 คร 1:23) แม้จะฟังดูเป็นเรื่องโง่เขลาในสายตาของคนทั่วไปที่นับถือเงินตราเป็นพระเจ้า แต่ละคนต่างแสวงหาความสะดวกสบายและความสุขในชีวิตเป็นลำดับแรก เราจะติดตามพระคริสตเจ้าในโลกปัจจุบันอย่างไร

2.     บทเรียนสำหรับเรา

เงื่อนไขที่พระเยซูเจ้าทรงวางไว้สำหรับเรา ในการเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ในพระวารสารวันนี้คือ “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตัวเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา” (ลก 9:23)

ประการแรก การไม่นึกถึงตัวเอง คือการปฏิเสธตัวเอง ไม่ใส่ใจในตนเอง หรือคิดถึงตัวเองให้น้อยลงเพื่อจะได้ให้เวลาและคิดถึงคนอื่นมากขึ้น ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางและอยู่เหนือคนอื่น หรือถือว่าตัวเองคือความถูกต้องโดยไม่ฟังใคร อีกทั้งไม่ยึดติดกับข้าวของเงินทองฝ่ายโลก เพื่อจะสามารถปฏิบัติได้อย่างนักบุญเปาโลที่ว่า “งานทุกอย่างเป็นไปเพื่อความดีของผู้ที่รักพระเจ้า”

ประการที่สอง การแบกกางเขนของตน คือการพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาและความยากลำบากต่างๆ แม้กระทั่งยอมทนทุกข์เพื่อเห็นแก่พระเจ้า ผู้ที่แบกกางเขนของตนทุกวันจึงเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์  และพระองค์จะประทานพลังและพระหรรษทานที่จำเป็นแก่เขาในการเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง

ประการสุดท้าย การติดตามพระองค์ทุกวัน เครื่องหมายของการติดตามพระคริสตเจ้า คือการเลียนแบบอย่างและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ในชีวิตประจำวัน ในความรัก ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และการแบ่งปันรับใช้ซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะยื่นมือช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนด้วยใจกว้าง ประการสำคัญคือการให้อภัยความผิดของกันและกัน เหมือนพระบิดาเจ้าผู้ทรงความดีบริบูรณ์และให้อภัยทุกคนเสมอไม่สิ้นสุด

บทสรุป

พี่น้องที่รัก เราคริสตชนไม่มีหนทางอื่นในการติดตามพระเยซูเจ้า นอกจากหนทางของพระคริสตเจ้าคือ หนทางแห่งไม้กางเขนและการทรมาน กางเขนนำไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์ และความทรมานนำไปสู่ความรอดพ้น กางเขนนำมาซึ่งชัยชนะ และการทรมานยอมลำบากเพื่อผู้อื่นนำมาซึ่งสันติสุขที่แท้จริง  ปัญหาก็คือ เราได้เลียนแบบพระเยซูเจ้าและติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์ หรือเพียงแค่ชื่นชมพระองค์เท่านั้น

เราได้แบกกางเขนของตนและติดตามพระองค์ในชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน หรือว่ากำลังนั่งอยู่ริมทางเพื่อชื่นชมและปรบมือให้พระองค์ ปล่อยให้พระองค์แบกไม้กางเขนโดยลำพัง พระวรสารวันนี้ได้ท้าทายเราด้วยคำถามที่สำคัญสองประการ พระเยซูเจ้ามีความหมายสำหรับชีวิตของเราอย่างไร และเราเป็นใครในชีวิตของพระเยซูเจ้า ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้แทนเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
21 มิถุนายน 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น