วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเสด็จสู่สวรรค์ การฉลองแห่งความหวัง


การเสด็จสู่สวรรค์ การฉลองแห่งความหวัง

วันอาทิตย์
สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์
ปี B
กจ 1:1-11
อฟ 1:17-23
มก 16: 15-20

บทนำ

ยาโกโม ปุชชีนิ (Giacomo Puccini) นักดนตรีเอกชาวอิตาลี ผู้แต่งบทเพลงโอเปรา La Boheme, Madama Butterfly และ Tosca ขณะที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายในปี ค.ศ. 1922 ปุชชีนีได้เขียนบทเพลง Turandot ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขา ปุชชีนิเขียนบทเพลงนี้ทั้งกลางวันและกลางคืนจนสุขภาพร่างกายแย่ลง ปุชชีนิได้พูดกับศิษย์ของตนว่า “หากฉันเขียน Turandot ไม่จบ ช่วยเขียนต่อให้จบด้วย” ปุชชีนิมรณะในปี ค.ศ. 1924 ทิ้งงานที่ยังเขียนไม่จบไว้ และบรรดาลูกศิษย์ได้ช่วยกันเขียนต่อจนจบ

ในการเปิดการแสดงรอบปฐมทัศน์ ณ โรงละครลาสกาลา (La Scala) แห่งเมืองมิลาน ในปี ค.ศ. 1926 ทอสกานีนิ ศิษย์เอกของปุชชีนิเป็นผู้อำนวยเพลง บทเพลง Turandot ได้รับการบรรเลงอย่างไพเราะกระทั่งมาถึงท่อนสุดท้ายที่ปุชชีนิเขียน ทอสกานีนิได้หยุดบรรเลงและหันมาทางผู้ชมว่า “อาจารย์ได้เขียนมาถึงตอนนี้และจากไป” ผู้ฟังปรบมือให้เกียรติอย่างยาวนาน ทอสกานีนิกล่าวต่อไปว่า “แต่พวกเราลูกศิษย์ได้ช่วยกันเขียนผลงานของอาจารย์ต่อจนจบ” จากนั้นเขาได้ให้จังหวะบรรเลงบทเพลงนี้จนจบ

วันนี้เราสมโภชการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า การเฉลิมฉลองนี้ระลึกถึงเหตุการณ์หลังสี่สิบวันของการกลับคืนชีพ ที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าบรรดาศิษย์ด้วยอำนาจของพระองค์เอง ก่อนจะเสด็จสู่สวรรค์พระองค์ได้ตรัสกับบรรดาศิษย์และเราแต่ละคนว่า ให้เราสานต่องานไถ่กู้มนุษยชาติของพระองค์ให้สำเร็จ ด้วยการประกาศข่าวดีในคำพูดและการกระทำของเรา ดังนั้นวันนี้ จึงเป็นวันที่เราเฉลิมฉลองการที่พระองค์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งเราทุกคนหวังที่จะมีส่วนในเกียรติรุ่งโรจน์นี้

1.         การเสด็จสู่สวรรค์ การฉลองแห่งความหวัง

มีความแตกต่างกันระหว่างพระวรสารแต่ละฉบับเกี่ยวการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า ผู้เขียนแต่ละคนไม่ได้มีจุดประสงค์จะให้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์ แต่ต้องการให้ความสำคัญที่พระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับบรรดาศิษย์ ซึ่งเป็นเจตจำนงสุดท้ายที่ทรงมอบให้บรรดาศิษย์ พระวาจาสุดท้ายได้รับการบันทึกแตกต่างกันแต่มีความสอดคล้องกันในประเด็นที่ว่า: 1) พระเยซูเจ้าได้มอบพันธกิจแก่บรรดาศิษย์ ซึ่งเป็นงานที่ผูกมัดพวกเขาจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างรุ่งโรจน์, 2) พระองค์ทรงให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าจะทรงช่วยเหลือพวกเขาในการทำให้พันธกิจนี้สำเร็จ

พันธกิจในการเป็นพยานถึงข่าวดีของพระเยซูเจ้าจนสุดปลายแผ่นดิน  ด้วยการออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งมวล เป็นพันธกิจที่แจ่มชัดมาก พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นข่าวดีแก่มนุษยชาติ ทุกชาติ ทุกภาษาและวัฒนธรรม เราถูกเรียกร้องให้บอกกล่าวเรื่องราวชีวิต พระทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าด้วยชีวิตของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเจริญชีวิตตามคุณค่าพระวรสารในชีวิตประจำวันของเรา

พันธกิจนี้มิใช่เป้าหมายที่จะสำเร็จได้ด้วยกำลังความสามารถของเรามนุษย์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงสัญญาจะประทานพลังแก่ผู้นำสารของพระองค์ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า การประกาศข่าวดีแก่มนุษยชาติจึงควรเริ่มต้นจากตัวเรา ด้วยการคุกเข่าลงภาวนาวอนขอพระพรจากพระจิตเจ้า และสารภาพว่างานทุกอย่างสำเร็จลงได้มิใช่ด้วยมือของเรา แต่ด้วยพระหรรษทานจากเบื้องบน พระจิตเจ้าจะทรงช่วยเหลือให้พันธกิจนี้ดำเนินต่อไป ประการสำคัญ พระองค์ทรงสัญญาจะอยู่กับเราเสมอไปจนสิ้นพิภพ

การสมโภชการเสด็จสู่สวรรค์เตือนใจเราถึง ความยินดีที่พระเยซูเจ้าได้รับพระสิริรุ่งโรจน์กับพระบิดาเจ้า อีกทั้งเตือนใจเราว่า พระเยซูเจ้ายังทรงประทับอยู่กับเราในพระศาสนจักร พระองค์ทรงประทับอยู่ในตัวผู้แทนของพระองค์ในพระศาสนจักร ในศีลมหาสนิท ในพระวาจาของพระเจ้าและในกลุ่มคริสตชน เป็นการปรากฏพระองค์ในมิติของความเชื่อ ขณะที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์และความเชื่อได้ให้ความมั่นใจเราว่า พระองค์ยังทรงประทับอยู่ที่นี่กับเรา

2.         บทเรียนสำหรับเรา

การสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์และพระวรสารในวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ

ประการแรก เราจะต้องเป็นผู้ประการพระวรสาร พระเยซูเจ้าได้มอบพันธกิจให้แก่ผู้มีความเชื่อทุกคน “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งปวง” มีความแตกต่างระหว่างการเทศน์สอนกับการประกาศ เราสอนด้วยคำพูด แต่เราประกาศด้วยชีวิตของเรา นั่นหมายความว่า เราถูกส่งไปให้ประกาศข่าวดีแห่งชีวิตและความรัก ข่าวดีแห่งความหวังและสันติสุข ในการเป็นพยานด้วยชีวิตของเรา ให้เราได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระคริสต์เจ้าในทุกที่ที่เราอยู่และไป โดยเริ่มต้นจากในครอบครัว หมู่คณะและวัดของเรา

ประการที่สอง เราต้องตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า พระองค์ได้ให้ความมั่นใจว่าจะอยู่กับเราตลอดไป แม้ในห้วงเวลาแห่งความทุกข์และความยากลำบากในชีวิต ดังที่นักบุญเอากุสตินกล่าวเอาไว้ว่า “เวลานี้พระเยซูเจ้าได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ในสวรรค์ แต่ยังคงทรมานในโลก ในความเจ็บปวดและความทุกข์ระทมที่เรา พระกายทิพย์ของพระองค์ได้รับ” เราต้องดำเนินชีวิตในความรักต่อกัน ในการภาวนาร่วมกัน ในการเป็นแสงสว่างแห่งความเชื่อ เพื่อคนอื่นจะได้เห็นความรักและความดีในตัวเรา

ประการที่สาม เราต้องเลียนแบบพระเยซูเจ้า ที่ได้มอบบทเรียนแห่งความเชื่อ ความหวัง การให้อภัย ความเมตตากรุณาและความรักแก่เรา แม้เราจะไม่ได้เห็นการปรากฏพระองค์ในโลกอีก แต่พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ในพระวาจา เราต้องทำให้พระวาจาของพระองค์ปรากฏเป็นจริงในชีวิตของเราและชีวิตของผู้อื่น เราต้องทำเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ พันธกิจในการประกาศข่าวดีแก่มนุษยชาติจะต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เราต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุภาพถ่อมตนเพื่อให้พระจิตเจ้าทรงนำทางเรา

บทสรุป

พี่น้องที่รัก เป็นความปรารถนาสุดท้ายของพระเยซูเจ้าก่อนจะจากบรรดาศิษย์สู่สวรรค์ พระองค์ทรงต้องการให้เราประกาศพระวรสารแก่ทุกคนในโลก สิ่งนี้จึงเป็นเหมือนกับเจตจำนงสุดท้ายที่ทรงต้องการจากศิษย์ของพระองค์ เราได้รับแสงสว่างแห่งพระวรสารแล้ว (จากบรรดาธรรมทูตในอดีต) ดังนั้น เราจึงต้องนำข่าวดีนี้ไปสู่ผู้อื่น ความเชื่อที่เรามีมิใช่สมบัติส่วนบุคคลที่ต้องเก็บรักษาไว้กับตนเอง แต่จะต้องแบ่งปันกับผู้อื่นด้วยชีวิตของเรา

พระเยซูเจ้าได้เสด็จสู่สวรรค์อย่างรุ่งโรจน์เป็นความหวังสำหรับเราว่า สักวันหนึ่งเราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์เช่นเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ ในอีกด้านหนึ่ง สวรรค์คือที่ประทับของพระเจ้า ดังนั้น เราจึงต้องอุทิศตัวเราเองเพื่อทำให้โลกนี้กลายเป็นสวรรค์ที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ สวรรค์บังเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ในโลกนี้ ในความรักต่อกัน ในการให้อภัยความผิดของกันและกัน ในการรับใช้ซึ่งกันและกัน และในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน เป็นต้นในครอบครัว หมู่คณะและหมู่บ้านของเรา

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
18 พฤษภาคม 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น