การเสด็จสู่สวรรค์
การฉลองแห่งความหวัง
วันอาทิตย์
สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์
ปี B
|
กจ 1:1-11
อฟ 1:17-23
มก 16: 15-20
|
บทนำ
ยาโกโม ปุชชีนิ (Giacomo Puccini) นักดนตรีเอกชาวอิตาลี ผู้แต่งบทเพลงโอเปรา La
Boheme, Madama Butterfly และ Tosca ขณะที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายในปี
ค.ศ. 1922 ปุชชีนีได้เขียนบทเพลง Turandot ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขา
ปุชชีนิเขียนบทเพลงนี้ทั้งกลางวันและกลางคืนจนสุขภาพร่างกายแย่ลง ปุชชีนิได้พูดกับศิษย์ของตนว่า “หากฉันเขียน Turandot ไม่จบ
ช่วยเขียนต่อให้จบด้วย” ปุชชีนิมรณะในปี ค.ศ. 1924 ทิ้งงานที่ยังเขียนไม่จบไว้
และบรรดาลูกศิษย์ได้ช่วยกันเขียนต่อจนจบ
ในการเปิดการแสดงรอบปฐมทัศน์ ณ โรงละครลาสกาลา (La Scala) แห่งเมืองมิลาน ในปี ค.ศ. 1926 ทอสกานีนิ ศิษย์เอกของปุชชีนิเป็นผู้อำนวยเพลง
บทเพลง Turandot ได้รับการบรรเลงอย่างไพเราะกระทั่งมาถึงท่อนสุดท้ายที่ปุชชีนิเขียน ทอสกานีนิได้หยุดบรรเลงและหันมาทางผู้ชมว่า
“อาจารย์ได้เขียนมาถึงตอนนี้และจากไป” ผู้ฟังปรบมือให้เกียรติอย่างยาวนาน
ทอสกานีนิกล่าวต่อไปว่า “แต่พวกเราลูกศิษย์ได้ช่วยกันเขียนผลงานของอาจารย์ต่อจนจบ”
จากนั้นเขาได้ให้จังหวะบรรเลงบทเพลงนี้จนจบ
วันนี้เราสมโภชการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า
การเฉลิมฉลองนี้ระลึกถึงเหตุการณ์หลังสี่สิบวันของการกลับคืนชีพ
ที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าบรรดาศิษย์ด้วยอำนาจของพระองค์เอง
ก่อนจะเสด็จสู่สวรรค์พระองค์ได้ตรัสกับบรรดาศิษย์และเราแต่ละคนว่า ให้เราสานต่องานไถ่กู้มนุษยชาติของพระองค์ให้สำเร็จ
ด้วยการประกาศข่าวดีในคำพูดและการกระทำของเรา ดังนั้นวันนี้
จึงเป็นวันที่เราเฉลิมฉลองการที่พระองค์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
ซึ่งเราทุกคนหวังที่จะมีส่วนในเกียรติรุ่งโรจน์นี้
1.
การเสด็จสู่สวรรค์
การฉลองแห่งความหวัง
มีความแตกต่างกันระหว่างพระวรสารแต่ละฉบับเกี่ยวการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า
ผู้เขียนแต่ละคนไม่ได้มีจุดประสงค์จะให้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์ แต่ต้องการให้ความสำคัญที่พระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับบรรดาศิษย์
ซึ่งเป็นเจตจำนงสุดท้ายที่ทรงมอบให้บรรดาศิษย์
พระวาจาสุดท้ายได้รับการบันทึกแตกต่างกันแต่มีความสอดคล้องกันในประเด็นที่ว่า: 1) พระเยซูเจ้าได้มอบพันธกิจแก่บรรดาศิษย์
ซึ่งเป็นงานที่ผูกมัดพวกเขาจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างรุ่งโรจน์,
2) พระองค์ทรงให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าจะทรงช่วยเหลือพวกเขาในการทำให้พันธกิจนี้สำเร็จ
พันธกิจในการเป็นพยานถึงข่าวดีของพระเยซูเจ้าจนสุดปลายแผ่นดิน
ด้วยการออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งมวล เป็นพันธกิจที่แจ่มชัดมาก
พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นข่าวดีแก่มนุษยชาติ ทุกชาติ ทุกภาษาและวัฒนธรรม
เราถูกเรียกร้องให้บอกกล่าวเรื่องราวชีวิต พระทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าด้วยชีวิตของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเจริญชีวิตตามคุณค่าพระวรสารในชีวิตประจำวันของเรา
พันธกิจนี้มิใช่เป้าหมายที่จะสำเร็จได้ด้วยกำลังความสามารถของเรามนุษย์
ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงสัญญาจะประทานพลังแก่ผู้นำสารของพระองค์ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า
การประกาศข่าวดีแก่มนุษยชาติจึงควรเริ่มต้นจากตัวเรา ด้วยการคุกเข่าลงภาวนาวอนขอพระพรจากพระจิตเจ้า
และสารภาพว่างานทุกอย่างสำเร็จลงได้มิใช่ด้วยมือของเรา แต่ด้วยพระหรรษทานจากเบื้องบน
พระจิตเจ้าจะทรงช่วยเหลือให้พันธกิจนี้ดำเนินต่อไป ประการสำคัญ พระองค์ทรงสัญญาจะอยู่กับเราเสมอไปจนสิ้นพิภพ
การสมโภชการเสด็จสู่สวรรค์เตือนใจเราถึง ความยินดีที่พระเยซูเจ้าได้รับพระสิริรุ่งโรจน์กับพระบิดาเจ้า
อีกทั้งเตือนใจเราว่า พระเยซูเจ้ายังทรงประทับอยู่กับเราในพระศาสนจักร
พระองค์ทรงประทับอยู่ในตัวผู้แทนของพระองค์ในพระศาสนจักร ในศีลมหาสนิท ในพระวาจาของพระเจ้าและในกลุ่มคริสตชน
เป็นการปรากฏพระองค์ในมิติของความเชื่อ ขณะที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์และความเชื่อได้ให้ความมั่นใจเราว่า
พระองค์ยังทรงประทับอยู่ที่นี่กับเรา
2.
บทเรียนสำหรับเรา
การสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์และพระวรสารในวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ
ประการแรก
เราจะต้องเป็นผู้ประการพระวรสาร
พระเยซูเจ้าได้มอบพันธกิจให้แก่ผู้มีความเชื่อทุกคน “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก
ประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งปวง” มีความแตกต่างระหว่างการเทศน์สอนกับการประกาศ
เราสอนด้วยคำพูด แต่เราประกาศด้วยชีวิตของเรา นั่นหมายความว่า เราถูกส่งไปให้ประกาศข่าวดีแห่งชีวิตและความรัก
ข่าวดีแห่งความหวังและสันติสุข ในการเป็นพยานด้วยชีวิตของเรา ให้เราได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระคริสต์เจ้าในทุกที่ที่เราอยู่และไป
โดยเริ่มต้นจากในครอบครัว หมู่คณะและวัดของเรา
ประการที่สอง เราต้องตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า พระองค์ได้ให้ความมั่นใจว่าจะอยู่กับเราตลอดไป
แม้ในห้วงเวลาแห่งความทุกข์และความยากลำบากในชีวิต ดังที่นักบุญเอากุสตินกล่าวเอาไว้ว่า
“เวลานี้พระเยซูเจ้าได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ในสวรรค์ แต่ยังคงทรมานในโลก
ในความเจ็บปวดและความทุกข์ระทมที่เรา พระกายทิพย์ของพระองค์ได้รับ” เราต้องดำเนินชีวิตในความรักต่อกัน
ในการภาวนาร่วมกัน ในการเป็นแสงสว่างแห่งความเชื่อ
เพื่อคนอื่นจะได้เห็นความรักและความดีในตัวเรา
ประการที่สาม เราต้องเลียนแบบพระเยซูเจ้า ที่ได้มอบบทเรียนแห่งความเชื่อ ความหวัง การให้อภัย ความเมตตากรุณาและความรักแก่เรา
แม้เราจะไม่ได้เห็นการปรากฏพระองค์ในโลกอีก แต่พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ในพระวาจา เราต้องทำให้พระวาจาของพระองค์ปรากฏเป็นจริงในชีวิตของเราและชีวิตของผู้อื่น
เราต้องทำเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ
พันธกิจในการประกาศข่าวดีแก่มนุษยชาติจะต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน
เราต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุภาพถ่อมตนเพื่อให้พระจิตเจ้าทรงนำทางเรา
บทสรุป
พี่น้องที่รัก
เป็นความปรารถนาสุดท้ายของพระเยซูเจ้าก่อนจะจากบรรดาศิษย์สู่สวรรค์
พระองค์ทรงต้องการให้เราประกาศพระวรสารแก่ทุกคนในโลก สิ่งนี้จึงเป็นเหมือนกับเจตจำนงสุดท้ายที่ทรงต้องการจากศิษย์ของพระองค์
เราได้รับแสงสว่างแห่งพระวรสารแล้ว (จากบรรดาธรรมทูตในอดีต) ดังนั้น
เราจึงต้องนำข่าวดีนี้ไปสู่ผู้อื่น ความเชื่อที่เรามีมิใช่สมบัติส่วนบุคคลที่ต้องเก็บรักษาไว้กับตนเอง
แต่จะต้องแบ่งปันกับผู้อื่นด้วยชีวิตของเรา
พระเยซูเจ้าได้เสด็จสู่สวรรค์อย่างรุ่งโรจน์เป็นความหวังสำหรับเราว่า
สักวันหนึ่งเราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์เช่นเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์
ในอีกด้านหนึ่ง สวรรค์คือที่ประทับของพระเจ้า ดังนั้น
เราจึงต้องอุทิศตัวเราเองเพื่อทำให้โลกนี้กลายเป็นสวรรค์ที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ สวรรค์บังเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ในโลกนี้
ในความรักต่อกัน ในการให้อภัยความผิดของกันและกัน ในการรับใช้ซึ่งกันและกัน และในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน
เป็นต้นในครอบครัว หมู่คณะและหมู่บ้านของเรา
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว18 พฤษภาคม 2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น