วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พยานแห่งแสงสว่าง


พยานแห่งแสงสว่าง

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
ปี B
อสย 61:1-2; 10-11
1 ธส 5:16-24
ยน 1:6-8, 19-28

บทนำ

อารามแห่งหนึ่งประสบกับภาวะวิกฤตอย่างหนัก มีแต่สมาชิกลาออก ไม่มีใครเข้า คนที่เคยมาทำบุญ ขอคำภาวนาหรือคำแนะนำต่างหายหน้าไป ไม่มีใครสนใจมาหาหรือใช้บริการเหมือนเช่นอดีต สมาชิกที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนล้วนแล้วแต่เป็นคนสูงอายุและมีความสัมพันธ์ที่เย็นชาต่อกัน พอทราบข่าวว่ามีฤาษีผู้ศักดิ์สิทธิ์มาอาศัยในป่าไม่ไกลจากอารามนัก อธิการจึงรีบรุดไปขอคำแนะนำจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้น เพื่อจะได้ฟื้นฟูอารามให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้บอกกับอธิการว่ามีความลับหนึ่งจะบอกให้ทราบ “สมาชิกคนหนึ่งในอารามท่านคือพระคริสตเจ้า แต่พระองค์ดำเนินชีวิตในแบบที่ไม่มีใครรู้จัก”

หลังจากได้ทราบความจริง อธิการได้รีบกลับอาราม เรียกประชุมหมู่คณะและกล่าวกับทุกคนถึงจ้สิ่งที่ผู้ศักดิ์สิทธิ์บอกให้ทราบ สมาชิกแต่ละคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ และพยายามมองดูว่าใครในระหว่างพวกเขาที่เป็นพระคริสตเจ้า ต่างพูดกันว่าคนนี้ไม่น่าใช่ คนโน้นยิ่งไปกันใหญ่ ด้วยเหตุผลต่างๆนานา อธิการได้เตือนพวกเขาให้ทราบว่า พระคริสตเจ้าอาจซ่อนพระองค์หรือดำเนินชีวิตในรูปของคนที่ไม่เอาไหน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงแน่ใจว่า ต้องเป็นคนใดคนหนึ่งที่มิใช่ตนเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา สมาชิกในคณะต่างปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพและความสุภาพ เพราะผู้ที่ตนเองกำลังคุยด้วยอาจเป็นพระคริสตเจ้าได้ พวกเขาจึงแสดงออกต่อกันด้วยความรักมากกว่าเดิม ดำเนินชีวิตแบบพี่น้องด้วยความจริงใจและภาวนาด้วยความร้อนรน ไม่นานสัตบุรุษสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงพากันกลับมาใช้บริการในการเข้าเงียบหรือแนะนำวิญญาณดังเดิม มีผู้สนใจเข้าอารามและทำให้กระแสเรียกเพิ่มมากขึ้น เพราะแต่ละคนตระหนักว่าพระคริสตเจ้าทรงประทับอยู่ในคนหนึ่งในหมู่พวกเขา

เมื่อถูกพวกโรมันยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ ชาวยิวต่างรอคอยผู้นำทางการเมืองและศาสนาที่เข้มแข็ง เพื่อไถ่กู้และปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ การมาของผู้นำที่เป็นทั้งผู้ไถ่กู้และผู้ปลดปล่อยเช่นว่านี้ได้รับการกล่าวถึงล่วงหน้าจากบรรดาประกาศก เมื่อยอห์น บัปติสต์เริ่มงานของท่านในถิ่นทุรกันดาร จึงกลายเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว และถือเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะส่งคนไปถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ใช่พระผู้ไถ่หรือผู้ปลดปล่อยที่พวกเขากำลังรอคอยหรือเปล่า

1.  พยานแห่งแสงสว่าง

ในพระวรสารวันนี้ ยอห์น บัปติสต์ได้บอกประชาชนว่า ท่านไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นพยานถึงแสงสว่างที่แท้จริงซึ่งกำลังจะมาสู่โลก ยอห์นยืนยันว่าท่านไม่ใช่พระคริสตเจ้า ไม่ใช่เอลียาห์และไม่ใช่ประกาศก แต่เป็นเสียงร้องในถิ่นทุรกันดาร ที่ชี้บอกคนที่มาหาท่านให้เตรียมต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระเจ้า ท่านได้ประกอบพิธีล้างด้วยน้ำ เพื่อเตือนให้ระลึกถึงการกลับใจและการให้อภัยบาปของพระเจ้า

ในเวลาเดียวกันยอห์นได้เป็นพยานด้วยความสุภาพถ่อมตน สำนึกว่าตนเองไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของพระองค์ซึ่งถือเป็นงานของทาส แม้ท่านจะเป็นผู้เตรียมทางขององค์พระเจ้า แต่ท่านไม่ได้คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่อะไร เป็นแต่เพียงเสียงร้องให้เตรียมของพระเจ้ให้ตรง ความปรารถนาเดียวของท่านคือ ต้องการให้ประชาชนได้ยินเสียงร้องของท่าน และเปิดใจของตนต้อนรับผู้ที่มาภายหลังท่าน

ยอห์น ได้ประกาศข่าวสำคัญแก่ชาวยิวซึ่งกำลังรอคอยผู้ไถ่กู้ด้วยความกระวนกระวายว่า “แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่พวกท่าน เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก” (ยน 1:26) เหตุผลที่ทำให้ผู้คนในสมัยพระเยซูเจ้าไม่รู้จักพระองค์ เพราะพวกเขาต่างคิดว่าพระคริสตเจ้าจะเสด็จจากสวรรค์ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า และสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ด้วยการทำลายศัตรูของชนชาติอิสราแอลให้พินาศ เมื่อพระองค์เสด็จมาบังเกิดจากหญิงชาวยิวธรรมดาคนหนึ่งเหมือนคนอื่นทั้งหลาย พวกเขาจึงไม่รู้จักพระองค์

2.  บทเรียนสำหรับเรา

พระวรสารวันนี้และการเป็นพยานของยอห์น บัปติสต์ ช่วยปลุกเร้าจิตใจเราให้เตรียมฉลองการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าในหนทางที่ถูกต้อง

ประการแรก จงเป็นพยานแห่งแสงสว่าง เมื่อถูกถามว่าท่านเป็นใคร ยอห์นสำนึกว่าท่านเป็นพยานแห่งแสงสว่าง ผู้เตรียมทางสำหรับองค์พระเจ้า แล้วเราละเป็นใคร เราจะต้องเป็นพยานแห่งแสงสว่างของพระเจ้าที่เราเชื่อและติดตามเช่นเดียวกัน เราจะต้องรักในกระแสเรียกในการเป็นผู้นำสารของพระคริสตเจ้าไปสู่ผู้อื่นในโลก นี่คือ พันธกิจของพระศาสนจักรและหน้าที่ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยาน ด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่กัน เป็นต้นในครอบครัว สังคมและหมู่คณะของเรา

ประการที่สอง จงชี้ไปที่พระคริสตเจ้า ยอห์นไม่พูดถึงตัวท่านเองเลย แต่ชี้ไปที่พระคริสตเจ้าผู้ซึ่งเสด็จมาภายหลังท่าน ท่านตระหนักในความต่ำต้อยของตน “พระองค์จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้วยลง” (ยน 3:30) ท่านได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่โดยไม่หวังประโยชน์อะไร นอกจากพระคริสตเจ้า เราจะต้องไม่ชี้ไปที่ตัวเองหรือสำคัญผิดว่าเราคือความถูกต้องและสำคัญที่สุด แต่จะต้องชี้ไปที่พระคริสตเจ้า เราเป็นแต่เพียงเครื่องมือของพระองค์เท่านั้น ดังนั้นพระองค์จะต้องยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

ประการที่สาม จงแสวงหาพระคริสตเจ้า ยอห์นยืนยันว่า พระคริสตเจ้าเสด็จมาแล้ว ทรงประทับอยู่ท่ามกลางเราและเป็นผู้ที่เราไม่รู้จัก พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ซ่อนเร้น บ่อยครั้งการประทับอยู่ของพระองค์ อยู่เหนือการรับรู้และความเข้าใจของเรา เราจะต้องจำพระองค์ให้ได้ เป็นต้นในผู้ที่ต่ำต้อยและต้องการความช่วยเหลือ นั่นคือ พระคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ท่ามกลางเรา

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้บอกเราชัดเจนว่า พระคริสตเจ้าได้เสด็จมาในโลกแล้ว แต่พระองค์ทรงต้องการเราเป็นประจักษ์พยานถึงการประทับอยู่ของพระองค์กับทุกคนในโลก ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำของเรา เพื่อว่าคนอื่นทั้งหลายจะได้ทราบถึงข่าวที่น่ายินดีแห่งการเสด็จมาของพระองค์ โดยเริ่มจากบุคคลที่อยู่รอบข้างเราก่อน เช่น ที่บ้านหรือที่ทำงาน ก่อนที่จะขยายไปสู่ผู้อื่น

หากพระคริสตเจ้าทรงเป็นแสงสว่างแห่งชีวิตของเรา เราจะต้องทำให้แสงสว่างนี้ฉายแสงในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เป็นต้นในความรักต่อกัน การรับใช้และการให้อภัยซึ่งกันและกันด้วยใจกว้าง ตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้าท่ามกลางเรา การมองเห็นพระคริสตเจ้าในเพื่อนพี่น้องที่ต่ำต้อยและต้องการความช่วยเหลือ จะทำให้ชีวิตของเราและหมู่คณะมีคุณค่าและความหมาย

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
09 ธันวาคม 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น