อสย 9:1-4
1 คร 1:10-1, 17
มธ 4:12-23
บทนำ
ชายคนหนึ่งไปตัดผมที่ร้านแห่งหนึ่ง เมื่อช่างตัดผมเริ่มตัดผม ทั้งคู่สนทนากันอย่างถูกคอ เรื่องที่พูดคุยกันมีด้วยกันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องศาสนาด้วย เมื่อรู้ว่าลูกค้าของเขาคนนี้เป็นคริสตชน เขาได้พูดขึ้นว่า “ผมไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า” “ทำไมคุณถึงพูดเช่นนั้น” ชายคนนั้นถาม “คุณลองออกไปในถนนสิ คุณจะรู้ว่าไม่มีพระเจ้าจริงๆ หากพระเจ้ามีจริง ช่วยบอกผมหน่อย ทำไมถึงมีความทุกข์ยากลำบาก มีคนเจ็บป่วย และเด็กเร่ร่อนที่ถูกทอดทิ้งมากมาย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้า องค์แห่งความรักถึงปล่อยให้มีสิ่งเลวร้ายเหล่านี้” ช่างตัดผมย้ำ
ชายคนนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่โต้ตอบอะไร เนื่องจากไม่ต้องการทำลายบรรยากาศของการสนทนา กระทั่งตัดผมเสร็จและเดินออกจากร้าน เขาเห็นชายคนหนึ่งผมเผ้ารุงรัง สกปรก หนวดเครายาวน่าเกลียด เขาจึงเดินกลับเข้ามาในร้านตัดผมอีกครั้งและพูดกับช่างตัดผมว่า “คุณรู้ไหมว่าช่างตัดผมไม่มีอยู่จริงหรอก” “ทำไมพูดอย่างนั้นละ” ช่างตัดผมถามด้วยความประหลาดใจ “ผมนี่ไง ผมเป็นช่างตัดผมและเพิ่งตัดผมให้คุณไปหยกๆ” ช่างตัดผมยืนยัน
“ไม่จริง” ชายคนนั้นย้ำว่า “หากช่างตัดผมมีอยู่จริง คงไม่มีคนผมเผ้ารุงรังสกปรกเหมือนชายคนที่คุณเห็น” “แต่ช่างตัดผมมีจริง สาเหตุที่ชายคนนั้นผมยาว หน้าตาดูไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอมมาหาผม” ช่างตัดผมยืนยัน “จริงทีเดียว” ชายนั้นพูดบ้าง “การมีอยู่ของพระเจ้าเป็นเช่นเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เวลานี้เพราะไม่ยอมมาหาพระองค์ พวกเขาไม่ต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือ ดังนั้น โลกของเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์และความเลวร้ายต่างๆ”
การเป็นศิษย์และศาสนบริการเป็นส่วนสำคัญของฉากชีวิตคริสตชน เราแต่ละคนได้รับการเรียกให้มาเป็นศิษย์และมารับใช้ พระเยซูเจ้ายังคงกระทำภารกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์ต่อไปในโลกสำหรับมนุษยชาติผ่านทางพระศาสนจักร ซึ่งไม่ได้หมายถึงศาสนบริกรที่ได้รับศีลบวชคือพระสงฆ์และนักบวชเท่านั้น แต่พระศาสนจักรหมายถึงเราทุกคน ความทุกข์ยากลำบากยังคงมีอยู่ในโลก เพราะคริสตชนแต่ละคนไม่ได้ดำเนินชีวิตเป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระองค์ ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ดีของพระองค์ “กระแสเรียกของเราแต่ละคนคือการรับใช้คนอื่น” (ลีโอ ตอลสตอย)
1. การเรียกของพระเจ้า
ในพระวรสารวันนี้ บอกให้เราทราบถึงการเริ่มต้นพันธกิจของพระคริสตเจ้า พระองค์เสด็จไปแคว้นกาลิลี ทรงเทศน์สอนในศาลาธรรมและประกาศข่าวดีแห่งอาณาจักรพระเจ้า พระองค์ได้ทรงเรียกศิษย์กลุ่มแรกคือ เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น ซึ่งเป็นชาวประมงที่เมืองการ์เปอร์นาอุม เพื่อร่วมส่วนในพันธกิจของพระองค์และเป็นพยานถึงพระองค์ในโลก โดยตรัสกับซีโมนและอันดรูว์ว่า “จงตามเรามา เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงจับมนุษย์” พวกเขาล้วนเป็นชาวประมงธรรมดา เป็นคนต่ำต้อย ไม่ได้มีความรู้อะไรมากนัก สิ่งที่พวกเขารู้ดีที่สุดคือการจับปลา
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มงานที่เมืองการ์เปอร์นาอุมในฐานะเป็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ ที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวถึงในบทอ่านแรก ข่าวดีที่พระองค์ทรงประกาศคือ “จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” คำเชื้อเชิญให้ “กลับใจ” (Metanoia) ของพระองค์คือการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าด้วยการตอบสนองการเรียกของพระองค์ เป็นการเรียกให้เปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินชีวิตแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่การเรียกให้เสียใจต่อบาปที่เรากระทำในอดีต แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงจิตใจเพื่อทำงานของพระเจ้า
ดังนั้น ศิษย์กลุ่มแรกขอพระเยซูเจ้า จึงเป็นผู้ร่วมงานที่มีส่วนในงานและพันธกิจของพระองค์ เมื่อได้รับการเรียก พวกเขาได้ตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล พวกเขาละทิ้งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือในการหาปลาที่พวกเขาใช้เลี้ยงชีพ บิดามารดาและครอบครัว เพื่อเป็นศิษย์ติดตามพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข ในหมู่พวกเขาไม่มีใครเคยเห็นหรือรู้จักพระเยซูเจ้ามาก่อน แต่เมื่อได้รับการเรียก พวกเขาหยุดงานที่กำลังทำอยู่ทันที ละทิ้งทุกสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของเพื่อมาอยู่กับพระองค์
2. บทเรียนสำหรับเรา
นักบุญเปาโลได้ย้ำกับคริสตชนชาวโครินทร์ในบทอ่านที่สองว่า ทุกคนได้รับการเรียกให้มาเป็นศาสนบริกรของพระคริสตเจ้าและเป็นศิษย์ของพระองค์ ทุกคนร่วมมีส่วนในภารกิจของพระเยซูเจ้าคือ เป็นแสงสว่างแก่มนุษย์ในท่ามกลางความมืด จะต้องไม่มีความแตกแยกและการทะเลาะเบาะแว้งในหมู่คริสตชน แต่ต้องยอมรับซึ่งกันและกันอย่างที่ทุกคนเป็น การอุทิศตนในการเป็นศิษย์และรับใช้ซึ่งกันและกัน จะทำให้พวกเขาสามารถขจัดการแบ่งแยกแตกต่างที่กำลังเผชิญอยู่ให้หมดสิ้นไปได้
คริสตชนแต่ละคนได้รับการเรียกให้มาเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า เราได้อุทิศตนเพื่อการเป็นศิษย์และการรับใช้พระคริสตเจ้ามากน้อยเพียงใด การเรียกให้มาเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า คือการเรียกให้มาเลียนแบบและเดินตามแนวทางของพระองค์ในการนำแสงสว่างให้แก่โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำให้แสงสว่างแห่งความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และการให้อภัยของพระคริสตเจ้าฉายแสงในตัวเรา เพื่อคนอื่นที่เห็นกิจการดีในตัวเรา จะได้ชมสรรเสริญพระบิดาเจ้าของเรา
ในการเป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้า จะต้องละทิ้งสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะน้ำใจของเรา เพื่อเราจะสามารถอุทิศตนในการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนพี่น้องได้อย่างเต็มที่ เราจะต้องเป็นอิสระในการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากกว่าน้ำใจของเรา และพร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า ที่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ในการรัก รับใช้ และมอบชีวิตเพื่อทุกคนโดยไม่แบ่งแยก
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกเราให้มาเป็นคริสตชน เป็นศิษย์ติดตามของพระองค์ ให้ได้รับแสงสว่างและมีส่วนในพันธกิจของพระองค์ในโลก นั่นไม่ใช่เพราะเราดีกว่าคนอื่น แต่เพราะความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงรักเราและเรียกเราทุกวันให้ติดตามพระองค์ เราจะต้องไม่ลังเลในการติดตามและเลียนแบบอย่างของพระองค์
ให้เราได้สรรเสริญพระเจ้า “ผู้ทรงเรียกท่านจากความมืด สู่ความสว่างที่น่าพิศวงของพระองค์” (1 ปต 2:9) ให้เราได้รักษาความเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มคริสตชนของเรา และพยายามทุกวิถีทางในการขยายอาณาจักรของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา ในความรักและการรับใช้ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตเป็นเครื่องมือที่มองเห็นได้ของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน ในครอบครัว ในที่ทำงาน และในที่ต่างๆ ที่เราอยู่ เช่นนี้เอง เราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคริสตชน เป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระองค์
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว21 มกราคม 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น