วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

แสวงบุญเวียดนาม 1

 ซินจ่าวเวียดนาม: สงฆ์อีสานแสวงบุญเวียดนาม


บทนำ

ย้อนหลังไปเมื่อสี่ปีก่อน คณะกรรมการสงฆ์อีสานและอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ได้จัดสัมมนาสงฆ์อีสาน ครั้งที่ 17 โดยจัดไปแสวงบุญเวียดนามตอนกลาง ได้แก่ ลาวาง เมืองเว้ ดานัง และเมืองมรดกโลกฮอยอัน กาลเวลาหมุนเวียนมาถึงคิวของอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 21 แต่การสัมมนาในปีนี้แปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเน้นการไปแสวงบุญเพื่อเรียนรู้สภาพชีวิตและความเชื่อของพระศาสนจักรเวียดนาม โดยเฉพาะที่สังฆมณฑลวินห์และอัครสังฆมณฑลฮานอย

นับเป็นความปรารถนาของพระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ประมุขอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ที่ประสงค์จะให้บรรดาพระสงฆ์สี่สังฆมณฑลอีสานและพระสงฆ์นักบวชที่ทำงานในภาคอีสาน ได้สัมผัสวิถีชีวิตคริสตชนและพระศาสนจักรในประเทศเวียดนาม ที่ได้รับแสงสว่างแห่งพระวรสารที่หลังประเทศไทย และมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิตตามความเชื่อมากกว่าพระศาสนจักรไทย แต่เหตุไฉนพระศาสนจักรเวียดนามจึงมีความเจริญก้าวหน้าและเข้มแข็งมากกว่าพระศาสนจักรไทยมาก

ในการเดินทางไปเวียดนามครั้งแรกในปี ค.ศ. 2006 เป็นช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีเวียดนามได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 อันแสดงความมั่นใจให้สมเด็จพระสันตะปาปาและนานาประเทศได้เข้าใจว่า ประเทศเวียดนามได้ให้อิสระในการนับถือศาสนา ส่วนในการเดินทางไปแสวงบุญครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่พระศาสนจักรเวียดนามฉลองครบรอบ 350 ปีแห่งความเชื่อและการประกาศพระวรสาร อีกทั้งเป็นปีที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศฉลองครบรอบ 1,000 ปี และมีการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ที่ฮานอยพอดี

แม้ว่าพระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ จะไม่สามารถเดินทางไปร่วมแสวงบุญได้ เนื่องจากติดประชุมสภาพระสังฆราชแห่งเอเชีย (FABC) แต่คณะทัวร์แสวงบุญของเรามีพระคุณเจ้าชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ประมุขสังฆมณฑลนครราชสีมา ประธานหน่วยงานสงฆ์อีสานร่วมเดินทางไปด้วย พร้อมกับคณะสงฆ์จากสี่สังฆมณพลรวม 104 องค์ โดยออกเดินทางจากด่านตรวจคนเข้าเมืองนครพนม นั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นรถบัสที่ท่าแขก แขวงคำม่วน สปป. ลาว ในเช้าของวันที่ 10 มกราคม 2011 โดยใช้บริการของ “กินรีการท่องเที่ยว”

1. กินข้าวสามประเทศในวันเดียว

คณะของเราได้นั่งรถบัส 3 คันไปยังชายแดนลาว-เวียดนามที่น้ำพาวและเก่าแจว โดยแวะรับประทานอาหารเที่ยงที่หลักซาว เมืองชายแดนก่อนถึงด่านน้ำพาวของ สปป. ลาว ในระหว่างเส้นทางคุณอุ๊ด ไกด์ชาวเวียดนามได้ให้ข้อมูลเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับประเทศเวียดนามให้พวกเราได้ทราบ เพื่อเป็นการเตรียมล่วงหน้าก่อนจะเข้าสู่ดินแดนเวียดนาม ซึ่งทำให้พวกเราได้สัมผัสกับความตื่นเต้นตั้งแต่เริ่มเดินทาง เพราะมีเด็กนักเรียนชาวลาวคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถ ดูเหมือนคนขับรถจะเจอเรื่องทำนองนี้บ่อยจึงสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไกด์บอกว่า ประเทศลาวขับรถเลนขวา แต่เวียดนามขับรถตรงกลาง เวลามีรถสวนมาจึงค่อยหลบเข้าเลนตัวเอง (เลนขวา) การใช้แตรดูจะเป็นเรื่องปกติเพื่อบอกรถคันหน้าให้รู้ และคนขับต้องใช้ความสามารถพิเศษมาก เพราะถนนค่อนข้างแคบ ที่สำคัญมีมอเตอร์ไซด์และจักรยานเยอะมาก เป็นหน้าที่ของคนขับรถที่จะต้องระวังผู้ใช้ถนน รถคันหลังต้องระวังรถคันหน้า โดยที่รถคันหน้าไม่ต้องสนใจว่ารถคันหลังจะเป็นอย่างไร จึงมีรายการตัดหน้า เลี้ยวหรือถอยให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเส้นทาง ประกอบกับสภาพถนนที่แคบและการจำกัดความเร็ว ทำให้เวียดนามไม่ค่อยมีอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิตเหมือนประเทศไทย

ความแตกต่างที่เห็นได้อีกอย่างคือ ประเทศลาวเต็มไปด้วยภูเขาและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ แต่ประชากรน้อย ส่วนเวียดนามมีพื้นที่จำกัดแต่มีประชากรมากถึง 86 ล้านคน ตั้งอยู่ในเขตมรสุม เมื่อเราผ่านด่านเก่าแจวเข้าสู่ดินแดนประเทศเวียดนาม จึงเห็นถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของลักษณะภูมิอากาศและภูมิประเทศ อากาศหนาวมาก มีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วไป และด้วยสภาพพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้คนเวียดนามใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์ สองข้างทางเป็นพื้นที่ทำสวน ทำนา มีการทำนาถึงสามครั้งในรอบปี

2. เมืองวินห์ ถิ่นกำเนิดลุงโฮ

ด่านเก่าแจว ตั้งอยู่ในจังหวัดฮาติ๋น บรรพบุรุษของชาวท่าแร่และหนองแสงส่วนใหญ่จะมาจากจังหวัดนี้ ทำให้บรรดาคณะสงฆ์เราบางส่วนจากท่าแร่และหนองแสงดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ ที่ได้มาเยือนแผ่นดินเกิดขององ-บา ที่ได้เดินทางหนีความลำบากและภัยสงครามสู่ประเทศไทย และตั้งหลักแหล่งทั้งที่หนองแสงและท่าแร่ แม้บรรพบุรุษชาวเวียดนามเหล่านี้จะไม่มีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเลยในชีวิต แต่วันนี้บุตรหลานส่วนหนึ่งได้กลับมาแล้ว เป้าหมายของคณะของเราในการเดินทางวันแรกคือเมืองวินห์ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของโฮจิมินห์ มหาบุรุษของโลก และบิดาผู้นำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยเวียดนามจากการยึดครองของมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสและอเมริกา ถือเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศเวียดนามในจังหวัดแงะอาน

คณะของเราไปถึงอาสนวิหารแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ของสังฆมณฑลวินห์ค่อนข้างช้า จึงทำให้บรรดาสัตบุรุษชาวเวียดนามซึ่งมารอตั้งแต่บ่ายสามโมง พากันกลับไป ถึงกระนั้นยังมีคริสตชนชาวเวียดนามมาร่วมพิธีมิสซากับพวกเรามากพอสมควร พระคุณเจ้าชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ได้กล่าวตอนหนึ่งในบทเทศน์ว่า การมาครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้ถึงความเชื่อศรัทธาของพระศาสนจักรเวียดนาม ซึ่งมีความอยากลำบากทั้งในแง่การปกครองและสภาพชีวิต แต่พวกเขาเข้มแข็งและมีความเชื่อศรัทธามากกว่าเรา ความจริงสิ่งที่ทำลายพระศาสนจักร ไม่ใช่การเบียดเบียดหรือบุคคลภายนอก แต่เป็นความสะดวกสบายนั่นเอง เหมือนอย่างที่พระศาสนจักรไทยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้

สังฆมณฑลวินห์ มีจำนวนคริสตชนมากกว่าคริสตชนไทยทั้งประเทศ คือประมาณ 5 แสนคน มีพระสังฆราชเหงียน ทาย เหิบ เป็นผู้ปกครอง มีพระสงฆ์ 180 องค์ และนักบวชหญิง 700 คน หลังพิธีมิสซาได้ให้การต้อนรับคณะของพวกเรา และได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น (11 มกราคม) ที่วัดนักบุญยอแซฟ ฮายาง มีขบวนวงโยธวาทิศต้อนรับและนำขวบนแห่เข้าวัดร่วมพิธีมิสซา ซึ่งมีสัตบุรุษมาร่วมพิธีล้นวัด คุณพ่อบางท่านถึงกลับพูดว่า “อยากยืมคริสตชนที่นี่ไปเข้าวัดซึ่งตนดูแลอยู่ ท่าจะดี”

พระคุณเจ้าชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ได้เทศน์ตอนหนึ่งในพิธีมิสซาว่า “แม้ระบอกการปกครองคอมมิวนิสต์จะเข็มแข็ง แต่ยังพ่ายแพ้ให้กับความเชื่อศรัทธาของพี่น้องคริสตชนชาวเวียดนาม” วัดแห่งนี้สร้างด้วยแรงศรัทธาของพี่น้องคริสตชนชาวฮายาง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 พันคน สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 2007 มียอดแหลมเหมือนวัดกัลว่าห์ คุณพ่อดอมินิก เจ้าอาวาสได้รายงานว่า เวลาที่สร้างเสร็จรัฐบาลต้องการให้ตัดยอดแหลมลง เนื่องจากอยู่ในเส้นทางการบินของเครื่องบิน แต่ชาวบ้านไม่ยอมจึงยังคงสภาพเดิมมาจนถึงทุกวันนี้ คุณพ่อได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “แม้เราจะพูดภาษาต่างกัน แต่สำหรับพระเจ้ามีเพียงภาษาเดียวคือ ภาษาแห่งความรัก” ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราสัมผัสได้ผ่านทางการต้อนรับอันอบอุ่นและยิ่งใหญ่

Don Daniele ภาพ/รายงาน
danielkhuan@hotmail.com
Vinh City, Nghe An, Vietnam
14 January 2011

ปล. โปรดติดตามตอนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น