รองอาสนวิหารนักบุญอันนา หนองแสง
28 ถนนสุนทรวิจิตร
ตำบลหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม 48000
1.
ประวัติความเป็นมา
เมื่อปี ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2424) คุณพ่อยอห์นบัปติสต์ โปรดม และคุณพ่อซาเวียร์ เกโก พระสงฆ์คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส
เดินทางมาถึงอุบลราชธานีและตั้งหลักแหล่งที่บุ่งกะแทว
ต่อมามีคนจากหัวเมืองทางเหนือของอีสานมาเชิญคุณพ่อให้ขึ้นไปหนองคาย โดยอ้างว่ามีหลายคนอยากเข้าศาสนา คุณพ่อโปรดม
ได้ตัดสินใจไปพร้อมกับคุณพ่ออัลเฟรด-มารีย์
เทโอฟิล รองแดล และครูสอนคำสอนชื่อ
ครูทอง โดยออกเดินทางจากจากอุบลฯวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1883 (พ.ศ. 2427) มาถึงนครพนมเป็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ.
1883 (พ.ศ. 2427) จุดประสงค์ก็เพื่อสำรวจเส้นทาง
สถานการณ์และการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเพื่อวางโครงการแพร่ธรรมในโอกาสต่อไป เมื่อได้ใช้เวลาสำรวจไปถึงหนองคายและเวียงจันทน์เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
คุณพ่อทั้งสองก็เดินทางกลับอุบลฯ
ในการเดินทางกลับอุบลฯได้มาแวะพักที่นครพนมหลายสัปดาห์
ในโอกาสนั้นคุณพ่อโปรดมกับคุณพ่อรองแดล ได้สอนคำสอนให้ชาวเวียดนามที่สนใจ
ที่สุดได้โปรดศีลล้างบาปคริสตชนชาวเวียดนามกลุ่มแรกที่นครพนมจำนวน 13 คน และจัดให้พวกเขารับศีลสมรสอย่างถูกต้องอีก 4
คู่ เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1883 (พ.ศ. 2426) หลังจากฉลองปัสกาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1884 (พ.ศ. 2427) คุณพ่อโปรดม คุณพ่อเกโก และครูทัน ครูเณรชาวเวียดนามได้เดินทางจากอุบลฯมานครพนมอีกครั้งหนึ่ง
กลุ่มคริสตชนของนครพนมได้ต้อนรับคณะของคุณพ่อด้วยความยินดียิ่งและรวมกลุ่มอาศัยอยู่ทางทิศใต้ของตัวเมืองนครพนม
ใกล้กับที่เรียกว่า “วัดป่า” ต่อมาได้มีครอบครัวชาวเวียดนาม
4-5 ครอบครัวได้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ด้วยและสมัครเป็นคริสตชนโดยมีครูทันเป็นคนสอนคำสอน
เดือนมิถุนายน ค.ศ.
1884 (พ.ศ. 2427) คุณพ่อโปรดม
และครูเณรทัน ได้เดินทางต่อไปยังสกลนคร
โดยมีความประสงค์จะตั้งกลุ่มคริสตชนที่นั่นถ้าเป็นไปได้ ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ.
1885 (พ.ศ. 2428) คุณพ่อเกโก
ได้ปรึกษากับทุกคนเพื่อย้ายคริสตชนกลุ่มนี้ไปอยู่ที่บ้านคำเกิ้ม
ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองนครพนมประมาณ 3-4 กิโลเมตร
ในเดือนแรกของปี ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) คริสตชนชาวคำเกิ้ม
ได้ไปหักล้างถางพงที่บ้านหนองแสงเพื่อทำไร่และอยู่อาศัย คุณพ่อเกโก ไม่อยากให้ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ถาวร
แต่อนุญาตให้ไปทำไร่ได้ ส่วนคุณพ่อรองแดล
นั้นตรงข้าม ท่านไม่ห้ามให้ไปตั้งบ้านคริสตชนที่หนองแสง ฉะนั้นเมื่อคุณพ่อได้รับภาระให้ดูแลบ้านคำเกิ้ม
จึงชักชวนและแนะนำชาวคำเกิ้มให้ไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านหนองแสง
ท่านได้สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งซึ่งได้ใช้เป็นวัดในเวลาต่อมา บ้านหนองแสงเดิมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านคำเกิ้ม
ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร
คณะสงฆ์มิสซังลาวสมัยพระสังฆราชกืออาส ปี ค.ศ. 1903 ณ ศูนย์มิสซังแห่งใหม่ที่หนองแสง |
ในเวลานั้นมีพระสงฆ์ประจำอยู่ที่ศูนย์บุ่งกะแทว
คำเกิ้มและท่าแร่ วัดนักบุญยอแซฟ
คำเกิ้มซึ่งเป็นสถานที่อยู่กึ่งกลางกว่าวัดแม่พระนฤมลทิน บุ่งกะแทว ที่อุบลฯ
ได้กลายเป็นศูนย์กลางที่สองของมิสซัง
ซึ่งบรรดาพระสงฆ์ที่อยู่ทางแขวงนี้พากันมาประชุมและเข้าเงียบเป็นประจำในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
แต่เนื่องจากผู้ปกครองมิสซังในสมัยนั้นไม่ได้พำนักอยู่ที่คำเกิ้มตามตำแหน่ง
ส่วนมากมักพักอยู่กับพระสงฆ์มิชชันนารีองค์อื่นเพื่อช่วยงานหรือไปเยี่ยมเยียนสัตบุรุษตามวัดต่างๆ
ซึ่งได้ก่อให้เกิดปัญหาและความไม่สะดวกหลายอย่างตามมา
เพราะพระสงฆ์ที่ประสบปัญหาไม่สามารถปรึกษาหารือได้
อีกทั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือบุคคลภายนอกไม่สามารถติดต่อได้
ดังนั้น
หลังการเข้าเงียบประจำปีในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) บรรดาพระสงฆ์จึงเสนอความเห็นให้มีสถานที่หนึ่งสำหรับใช้เป็นสำนักของอุปสังฆราชผู้ปกครองมิสซัง
และเป็นสำนักทางการของมิสซังด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อทางจดหมายและปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ
โดยเลือกเอาบ้านหนองแสง แต่หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ที่เหมาะสมกว่าก็เห็นว่า
ควรย้ายบ้านพักและโรงสวดไปตั้งใกล้ฝั่งแม่น้ำโขงที่มีสถานที่กว้างขวางและไปมาสะดวก
ที่ตั้งใหม่นี้คือ หนองแสงในปัจจุบัน
ดังนั้น หนองแสงจึงกลายเป็นศูนย์ที่ 3 ของมิสซังและเป็นสำนักพระสังฆราช
ประมุขปกครองมิสซังลาวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2422) มาจนถึงปี ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483)
เมื่อได้ข้อยุติเกี่ยวกับสถานที่ตั้งศูนย์กลางมิสซังที่หนองแสงแล้ว
คุณพ่อโปรดม ได้เตรียมสถานที่และโค่นต้นไม้เพื่อจะได้สร้างบ้านหลังเล็ก ๆ
สำหรับเป็นที่อาศัยของคุณพ่อ ซึ่งต่อมาภายหลังได้สร้างเป็นโรงครัวในปี ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ในการก่อสร้างครั้งนั้นคริสตชนที่อยู่รอบๆ
หนองแสงมีส่วนอย่างมากในการเตรียมไม้เสา ไม้โครงส่วนต่างๆ
เพื่อสร้างตึกตามโครงการดังกล่าว
คริสตชนวัดดอนโดนซึ่งเลื่อยไม้เก่งได้อาสาเป็นผู้เลื่อยไม้ขื่อ หลังวันปัสกาปี ค.ศ.
1897 (พ.ศ. 2440) คริสตชนวัดต่างๆ
ได้บรรทุกไม้ที่เลื่อยแล้วใส่เรือมาส่งที่หนองแสง
แต่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งที่มีเหตุร้ายแรงอุบัติขึ้น เมื่อคริสตชนดอนโดน 12
คนที่ผูกไม้ซุง 3 ท่อนติดกับเรือล่องแม่น้ำโขงจากเกาะดอนโดนมาหนองแสง
ระหว่างทางเกิดลมพัดแรงจนเรือล่มเป็นเหตุให้มีผู้จมน้ำตาย 6 คน อย่างไรก็ตามในที่วันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2440) ชาวบ้านเริ่มตั้งเสาต้นแรก
เพียงไม่กี่วันต่อมาโครงตึกทั้งหลังก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
พวกเขาจึงใช้หญ้ามุงมุมด้านหนึ่งแล้วปูพื้นชั่วคราวเพื่อเป็นที่อยู่ของอุปสังฆราช
ซึ่งได้มาอยู่ประจำประมาณเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม ค.ศ.
1897 (พ.ศ. 2440)
คณะสงฆ์มิสซังลาวสมัยพระสังฆราชแกวง ปี ค.ศ. 1937 ณ สำนักมิสซังหนองแสง |
1.3 อาสนวิหารหลังใหม่
ภายหลังที่คุณพ่อโปรดม
ได้รับเลือกให้เป็นพระสังฆราชองค์ที่สองของมิสซังลาวในปี ค.ศ. 1913 (พ.ศ. 2456) ก็ได้ดำเนินการก่อสร้างอาสนวิหารใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก
งานก่อสร้างเริ่มก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี ค.ศ.
1914 (พ.ศ. 2457) แต่มาหยุดชะงักปลายเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 1914 (พ.ศ.
2457) ต่อมาได้มอบหมายให้คุณพ่อแฟรสแนล ดำเนินการก่อสร้างต่อในปี
ค.ศ. 1918 (พ.ศ.
2461) สร้างเสร็จกลางปี ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462)
นับเป็นอาสนวิหารที่ใหญ่โตแข็งแรงและสวยงามมาก ด้านหน้ามีหอคู่ที่มีลักษณะเป็นยอดแหลมสูงเด่นเป็นสง่ามองเห็นได้จากระยะไกล โครงหลังคาสร้างอย่างถูกหลักเทคนิค วัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่ขนมาจากเมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม ซึ่งสมัยนั้นมีเพียงบริษัทเดินเรือบริษัทเดียวที่เดินเรือระหว่างไซ่ง่อนกับเวียงจันทน์สัปดาห์ละครั้ง จึงเข้าใจได้ว่าต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างเสร็จ นับเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยังความพิศวงงงงวยแก่ผู้ที่พบเห็น แต่น่าเสียดายที่อาสนวิหารนี้ได้ถูกระเบิดทำลายจนหมดสิ้นในช่วงที่เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศอินโดจีนของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) เหลือไว้แต่ซากปรักหักพังที่ยากแก่การปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ มิฉะนั้นเราคงจะมีโบราณสถานอันล้ำค่าแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ณ ดินแดนแห่งนี้
นับเป็นอาสนวิหารที่ใหญ่โตแข็งแรงและสวยงามมาก ด้านหน้ามีหอคู่ที่มีลักษณะเป็นยอดแหลมสูงเด่นเป็นสง่ามองเห็นได้จากระยะไกล โครงหลังคาสร้างอย่างถูกหลักเทคนิค วัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่ขนมาจากเมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม ซึ่งสมัยนั้นมีเพียงบริษัทเดินเรือบริษัทเดียวที่เดินเรือระหว่างไซ่ง่อนกับเวียงจันทน์สัปดาห์ละครั้ง จึงเข้าใจได้ว่าต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างเสร็จ นับเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยังความพิศวงงงงวยแก่ผู้ที่พบเห็น แต่น่าเสียดายที่อาสนวิหารนี้ได้ถูกระเบิดทำลายจนหมดสิ้นในช่วงที่เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศอินโดจีนของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) เหลือไว้แต่ซากปรักหักพังที่ยากแก่การปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ มิฉะนั้นเราคงจะมีโบราณสถานอันล้ำค่าแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ณ ดินแดนแห่งนี้
ภายหลังที่สงครามสงบมิสซังได้ย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่บ้านท่าแร่
จังหวัดสกลนคร ที่หนองแสงคุณพ่ออัลแบร์ ดงได้สร้างวัดชั่วคราวขึ้นเป็นหลังที่
3 หลังคามุงแฝก ต่อมาคุณพ่อเอดัวร์
ถัง นำลาภ ได้บูรณะวัดหลังนี้ให้ดีขึ้น โดยมุงหลังคาด้วยดินเผา เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน
ค.ศ. 1965 (พ.ศ.
2508) วัดชั่วคราวซึ่งมุงด้วยดินเผาทนการสั่นสะเทือนจากการทิ้งระเบิดที่บ้านถ้ำ
ประเทศลาวไม่ได้หลังคาจึงพังทะลายลงมา แต่ไม่มีใครได้รับอันตราย คุณพ่ออันตน เสงี่ยม ศรีวรกุล เจ้าอาวาสในขณะนั้นพร้อมกับคริสตชนชาวหนองแสงได้พากันซ่อมแซมเปลี่ยนหลังคาเป็นสังกะสีเพื่อจะได้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
คุณพ่อเอดัวร์ เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 1893 (พ.ศ.
2436) ที่จังหวัดจันทบุรี
เข้ารับการศึกษาที่บ้านเณรเล็กบางนกแขวก อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม ระหว่างปี ค.ศ. 1908-1916
(พ.ศ. 2451-2459) จากนั้นเป็นครูเณรที่บางนกแขวกจนถึงปี
ค.ศ. 1920 (พ.ศ.
2463) จึงได้เข้ารับการศึกษาที่บ้านเณรใหญ่ ปีนัง
ประเทศมาเลเซียจนจบหลักสูตรได้บวชเป็นพระสงฆ์เมื่อปี ค.ศ.
1926 (พ.ศ. 2469)
ต่อมาเมื่อคุณพ่อโบแอร์
เจ้าอาวาสอาสนวิหารนักบุญอันนา หนองแสง ลาพักเนื่องจากสุขภาพไม่ดีในปี ค.ศ. 1929 (พ.ศ. 2472) จึงไม่มีพระสงฆ์ที่รู้ภาษาเวียดนามดีพอ
เนื่องจากคริสตชนที่หนองแสงส่วนใหญ่ใช้ภาษาเวียดนาม พระสังฆราชแกวง จึงขอมิสซังกรุงเทพฯให้หาพระสงฆ์ที่รู้ภาษาเวียดนามไปช่วย คุณพ่อเอดัวร์ จึงสมัครมาช่วยงานที่หนองแสง
เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสคุณพ่อมาลาวาล ทำหน้าที่ดูแลวัดเชียงยืน นามน โคกก่อง
และได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองแสงในเวลาต่อมา
ระหว่างที่เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนและการเบียดเบียนศาสนาในปี
ค.ศ. 1940 (พ.ศ.2483)
อาสนวิหารที่หนองแสงถูกทหารไทยยึดและใช้หอระฆังซึ่งเป็นหอสูงเป็นที่ส่องกล้องดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายฝรั่งเศส
จึงถูกยิงด้วยปืนใหญ่จากฝั่งลาวจนหอระฆังพังไปแถบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าอาสนวิหารถูกยิงได้รับความเสียหายข้าหลวงเมืองนครพนมได้สั่งให้นักโทษในเรือนจำขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา
ขนเอาอิฐ และไม้ไปขาย
คงเหลือแต่ซากหอระฆังอีกข้างหนึ่งเท่านั้น
สำนักพระสังฆราช บ้านพักพระสงฆ์ โรงเรียนพระหฤทัย บ้านเณร อาราม
โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ยุ้งข้าว กำแพงอิฐทั้ง 4 ด้าน ฯลฯ
ถูกรื้อเอาไปหมดเช่นกัน เหลือแต่ซากปรักหักพัง
เวลานั้นคุณพ่อเอดัวร์ ถูกจับขังคุกพร้อมกับคริสตชนบางคน เช่น ครูทัน
เวียงชัย ภายหลังออกจากคุกแล้วยังมีผู้ใส่ร้ายคุณพ่อว่าเป็นแนวที่
5 กล่าวหาว่าคุณพ่อฉายไฟให้เครื่องบินของฝรั่งเศสมาทิ้งระเบิดที่นครพนมและที่สกลนคร จนถูกดำเนินคดีและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเมื่อปี
ค.ศ. 1941 (พ.ศ.
2484) คุณพ่อถูกส่งตัวไปคุมขังที่คุกบางขวาง
จังหวัดนนทบุรี
หลังสงครามโลกครั้งที่
2 ปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ.2488) นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศนิรโทษกรรม คุณพ่อเอดัวร์ จึงได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่หนองแสงอีกครั้ง
พร้อมกับทำหน้าที่ดูแลคริสตชนชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่
2 กระจัดกระจายอยู่ตามริมแม่น้ำโขง ในเขตอำเภอต่างๆ
ที่อยู่ตามแนวชายแดน เช่น อำเภอบ้านแพง ธาตุพนม มุกดาหาร ดอนตาล ฯลฯ คุณพ่อได้ติดตามหากลุ่มคริสตชนเหล่านั้น
ตั้งแต่อำเภอบ้านแพงมาจนถึงอำเภอมุกดาหารด้วยความร้อนรนและด้วยความห่วงใยเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก
จนกระทั่งหัวใจวายถึงแก่มรณภาพขณะกำลังขึ้นฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อติดตามกลุ่มคริสตชนที่อำเภอบ้านแพงเมื่อวันที่
14 กันยายน ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) สิริอายุ 72
ปี
นับเป็นการสูญเสียปูชนียบุคคลอีกครั้งหนึ่งของวัดหนองแสงและสังฆมณฑล
เดือนมีนาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) พระอัครสังฆราชมีคาแอลเกี้ยน
เสมอพิทักษ์ ได้อนุมัติให้สร้างวัดหลังใหม่หลังที่ 4
สำหรับใช้เป็นรองอาสนวิหารของอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง
เพื่อเป็นการระลึกถึงความเสียสละและความกล้าหาญของมิชชันนารีรุ่นแรกที่ได้นำเมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสารมาหว่านในดินแดนแห่งนี้
ประกอบกับวัดชั่วคราวมีอายุกว่าสามสิบปีแล้วไม่ปลอดภัยสำหรับสัตบุรุษ
โดยมีพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) ตรงกับวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
วัดหลังใหม่นี้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่คล้ายคลึงกับอาสนวิหารหลังเก่าที่ถูกทำลาย ด้วยความร่วมมือร่วมใจอย่างพร้อมเพรียงของคริสตชนชาวหนองแสง ด้วยความศรัทธาและความช่วยเหลือของคริสตชนจากภาคกลาง พร้อมทั้งความสามารถของคุณพ่ออันตน เสงี่ยม วัดหลังใหม่จึงสำเร็จลงอย่างน่าสรรเสริญ เป็นวัดที่ใหญ่โตตั้งตระหง่าน สง่างามทั้งภายนอกและภายในสมกับเป็นรองอาสนวิหารอย่างแท้จริง ได้มีพิธีเสกและเปิดอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) โดยพระสังฆราชเกลาดีอุส บาเย อดีตประมุขมิสซังลาว, มิสซังท่าแร่และมิสซังอุบลราชธานี มิชชันนารีรุ่นที่สองผู้บุกเบิกและมีบทบาทสำคัญในพระศาสนจักรท้องถิ่นแห่งนี้
วัดหลังใหม่นี้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่คล้ายคลึงกับอาสนวิหารหลังเก่าที่ถูกทำลาย ด้วยความร่วมมือร่วมใจอย่างพร้อมเพรียงของคริสตชนชาวหนองแสง ด้วยความศรัทธาและความช่วยเหลือของคริสตชนจากภาคกลาง พร้อมทั้งความสามารถของคุณพ่ออันตน เสงี่ยม วัดหลังใหม่จึงสำเร็จลงอย่างน่าสรรเสริญ เป็นวัดที่ใหญ่โตตั้งตระหง่าน สง่างามทั้งภายนอกและภายในสมกับเป็นรองอาสนวิหารอย่างแท้จริง ได้มีพิธีเสกและเปิดอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) โดยพระสังฆราชเกลาดีอุส บาเย อดีตประมุขมิสซังลาว, มิสซังท่าแร่และมิสซังอุบลราชธานี มิชชันนารีรุ่นที่สองผู้บุกเบิกและมีบทบาทสำคัญในพระศาสนจักรท้องถิ่นแห่งนี้
ปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) คุณพ่อยอแซฟ ตรรกวิทย์ เวียรชัย ได้รับแต่งตั้งให้มาเป็นเจ้าอาวาส
คุณพ่อได้ปรับปรุงและพัฒนาวัดหลายอย่าง เช่น สร้างบ้านพักพระสงฆ์หลังใหม่
และอาคารสำนักงานโคเออร์ ส่วนถนนรอบวัดสร้างในสมัยคุณพ่อยอแซฟ ธีระยุทธ
อนุโรจน์ ต่อมาในปี
ค.ศ. 1998 (พ.ศ.
2541) คุณพ่อยอแซฟ ตรรกวิทย์ ได้รับแต่งตั้งให้มาเป็นเจ้าอาวาสอีกครั้ง และได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาอเนกประสงค์บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งวัดเก่าหลังที่
3 จนกระทั่งแล้วเสร็จสมบูรณ์
มีพิธีเสกและเปิดโอกาสปิดปีปีติมหาการุญ ค.ศ. 2000 โดยให้ชื่อว่า “ศาลาเซนต์แอน ค.ศ. 2000” รวมค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 1,100,000.-
บาท
โดยได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องคริสตชนชาวหนองแสงและผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น