กลุ่มคริสตชนหนองห้าง
กลุ่มคริสตชนวัดแม่พระราชินีแห่งสันติภาพ
หนองห้าง ตำบลหนองห้าง อำเภอกุฉินารายณ์
จังหวัดกาฬสินธุ์ มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแต่เป็นแผนการของพระเจ้า เมื่อนายคำกาว
ภูศรีฐาน ชาวหนองห้างซึ่งไปตัดไม้ที่หน้าเขื่อนน้ำพุง
โดยพักอยู่กับญาติที่บ้านต้อน
ในตอนกลางคืนญาติคนดังกล่าวได้ชวนไปฟังคำสอนกับคุณพ่อที่บ้านโนนหัวช้าง นายคำกาวเมื่อได้ฟังข่าวดีก็รู้สึกสนใจ
พอกลับถึงบ้านหนองห้างจึงบอกกล่าวข่าวดีนั้นให้เพื่อนพ้องชาวหนองห้างได้รู้จัก
ได้แก่ นายสอน จันศิริสา, นายดี จิตปรีดา นายซอน โสภาคะยัง, นายยศ สุระเสียง,
นายเคน ชมศิริ, นายฟอง จิตปรีดา, นายป่อน ศรีจำพลัง และนายแดง ศิริปะกะ
ข่าวดีที่ได้ยินในวันนั้นเป็นเหมือนกับเชื้อแป้งที่ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นอยากรู้จักมากขึ้น
และนำไปสู่การประชุมปรึกษาหารือกัน จนกระทั่งที่ประชุมมีมติให้นายสอน จันศิริสากับนายดี
จิตปรีดา ไปติดต่อและนำ “ศาสนาเยซู” มา
เดิมทีเดียวทั้งสองตั้งใจจะเดินทางไปที่จังหวัดกาฬสินธุ์
เพราะทราบมาว่ามีผู้นับถือ “ศาสนาเยซู” ที่นั่น (คริสเตียน) แต่เมื่อไปถึงอำเภอสมเด็จก็ได้รับคำแนะนำให้ไปที่บ้านท่าแร่
จังหวัดสกลนคร
ทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปบ้านท่าแร่โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านท่าแร่อยู่ที่ไหน
ทราบเพียงว่าอยู่ในจังหวัดสกลนคร
แต่คงจะเป็นแผนการณ์ของพระเป็นเจ้าเมื่อไปถึงตัวเมืองสกลนครทั้งสองได้พบกับคนขับรถโดยสารที่ไปท่าแร่ทำให้สามารถเดินทางไปบ้านท่าแร่ได้ตามที่มุ่งหวัง
เมื่อไปถึงบ้านท่าแร่ทั้งสองได้ไปหาหัวหน้าชาวบ้านซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับสภาอภิบาลวัดในปัจจุบัน
ตามคำบอกกล่าวของคนขับรถแต่ไม่มีใครอยู่เลย
อย่างไรก็ดีทั้งสองก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนที่อยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างดี
โดยได้พาไปพักอยู่ที่บ้านของกงตาบาและได้พูดคุยกันถึงจุดมุ่งหมายของการมาครั้งนั้นคือต้องการรู้จัก
“ศาสนาเยซู” วันรุ่งขึ้นกงตาบาก็ปลุกให้ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อพาไปวัด
เมื่อไปถึงทั้งสองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ไม่เห็นใครเลยแต่พอเข้าวัดก็เห็นคนเต็มวัด
ทุกคนอยู่ในอาการเงียบสงบเหมือนกับไม่มีคนอยู่เลย จำได้ว่าวันนั้นตรงกับวันที่ 1
พฤศจิกายน ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505) ซึ่งทราบภายหลังว่าวันนั้นเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
เมื่อได้เห็นพิธีที่ชวนศรัทธา
อีกทั้งความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้คนในวัดจึงเกิดความประทับใจ หลังพิธีก๋งตาบาจึงพาไปพบคุณพ่อยอแซฟอินทร์
นารินรักษ์ เจ้าอาวาสอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ ขณะนั้น
และได้พูดคุยกันถึงจุดมุ่งหมายของการมาครั้งนั้นกับคุณพ่อ
ด้วยคำพูดที่ซื่อๆและแบบอย่างชีวิตที่เรียบง่ายของคุณพ่อนำมาซึ่งความประทับใจแก่นายสอนและนายดี
อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อและความสัมพันธ์ในเวลาต่อมา
นายสอนและนายดีได้พักค้างคืนที่ท่าแร่เพื่อสนทนากับคุณพ่ออีกหนึ่งคืน
วันรุ่งขึ้นจึงได้เดินทางกลับหนองห้างพร้อมกับคุณพ่อและคณะ
เมื่อมาถึงคุณพ่อได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่สนใจและได้ฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับพระเยซูเจ้าทำให้มีผู้สนใจเพิ่มจำนวนมากขึ้น
คุณพ่อได้ใช้โอกาสนั้นในการอธิบายคำสอนและชี้แจงถึงขั้นตอนของการเข้าเป็นคริสตชน
พร้อมทั้งวิธีการดำเนินชีวิตคริสตชนให้กับผู้สนใจเหล่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถเป็น
คริสตชนได้ผ่านทางการภาวนาร่วมกัน
การรักใคร่ปรองดองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน นี่คือเมล็ดพันธ์แห่งพระวรสารที่คุณพ่อได้หว่านลงในจิตใจของชาวหนองห้างในการพบปะและเยี่ยมเยียนครั้งแรก
ซึ่งต้องถือว่าเป็นข่าวดี เป็นสิ่งใหม่สำหรับชาวหนองห้างจริงๆ
ภายหลังที่คุณพ่อได้เดินทางกลับท่าแร่ไปแล้ว
เมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสารที่คุณพ่อได้หว่านไว้ในจิตใจของชาวหนองห้างก็เริ่มงอก
แม้จะเป็นเพียงต้นกล้าเล็ก ๆ แต่ก็เป็นต้นกล้าที่พร้อมจะเติบโต
ต้องการปุ๋ยและการดูแลเอาใจใส่พรวนดินรดน้ำอย่างใกล้ชิด
นับว่าข่าวดีของพระเป็นเจ้าได้เกิดผลในจิตใจของชาวหนองห้างแล้ว
และทำให้จิตใจของพวกเขาเกิดร้อนรนเกินกว่าที่จะนิ่งเฉยอยู่ได้
พวกเขาจึงได้ปรึกษาหารือกันและแต่งตั้งตัวแทนไปตามคุณพ่อที่บ้านท่าแร่อีกเป็นครั้งที่สอง
ซึ่งประกอบด้วย นายสอน จันศิริสา, นายดี จิตปรีดา,
นายเคน ชมศิริ, นายฟอง จิตปรีดา และนายแดง ศิริปะกะ
เมื่อเดินทางไปถึงบ้านท่าแร่ทั้งหมดได้พบปะพูดคุยกับคุณพ่ออีกครั้ง
และขอตัวคุณพ่อไปเผยแพร่ศาสนาที่บ้านหนองห้าง
เพราะพวกเขาปรารถนาจะฟังข่าวดีอีกและต้องการการอธิบายข่าวดีนั้นให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น คุณพ่อได้นำเรื่องเรียนพระสังฆราชมีคาแอล
เกี้ยน เสมอพิทักษ์ เมื่อได้รับความเห็นชอบและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพระคุณเจ้า
ซึ่งต้องการนำแสงสว่างแห่งพระวรสารมาเผยแพร่ในเขตกาฬสินธุ์อยู่แล้วดังคติพจน์พระคุณเจ้าที่ว่า
“แสงสว่างในความมืด”
(Lux in tenebris) คุณพ่อกับคณะครูคำสอนจึงเดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านหนองห้างอีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงคุณพ่อได้พักที่บ้าน นายแดง
ศิริปะกะและเริ่มสอนคำสอน
เมื่อเห็นว่าจำนวนผู้สนใจเพิ่มมากขึ้น
คุณพ่อก็มองเห็นว่าจำเป็นต้องมีที่ดินสำหรับสร้างวัดและทำสุสานฝังศพ
คุณพ่อจึงได้จัดซื้อที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านหนองกะตันในปัจจุบันจำนวน
2 แปลง
แปลงหนึ่งสำหรับสร้างวัดและอีกแปลงสำหรับทำสุสาน
คุณพ่อพร้อมกับชาวบ้านได้ลงมือสร้างวัดชั่วคราวขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่สอนคำสอนและประกอบพิธีทางศาสนา
วัดหลังแรกนี้มีลักษณะเป็นวัดไม้ยกพื้นสูงพอประมาณ และดัดแปลงด้านหลังเป็นห้องพักและห้องทำงานสำหรับคุณพ่อเพื่อใช้เป็นที่พักเวลามาหนองห้าง
ซึ่งในระยะแรกนี้คุณพ่อต้องเดินทางไปมาระหว่างหนองห้างกับท่าแร่ยังไม่ได้มาอยู่ประจำที่หนองห้าง
ปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) คุณพ่อกับชาวบ้านได้จัดงานฉลองวัดชั่วคราวเป็นครั้งแรก โดยพระสังฆราชมีคาแอลเกี้ยน
เสมอพิทักษ์ เป็นประธาน
ต่อมาหลังจากที่คุณพ่อและคณะครูคำสอนได้สอนคำสอนผู้กลับใจเป็นคริสตชนเป็นเวลา
3 ปี จึงได้โปรดศีลล้างบาปให้พร้อมกันรวม 35 ครอบครัว โดยคุณพ่อเป็นผู้โปรดเอง ซึ่งต้องใช้เวลาโปรดถึง 4 วันคือระหว่างวันที่ 14-17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) รวมจำนวนผู้รับศีลล้างบาปกลุ่มแรกนี้ทั้งสิ้น 177 คน
กลุ่มคริสตชนหนองห้างจึงถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
จากนั้นกลุ่มคริสตชนชาวหนองห้างได้พากันปฏิบัติศาสนกิจอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาและเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ด้วยสภาพความยากจนบางครอบครัวจึงอพยพไปอยู่ที่อื่น
คุณพ่อเข้าใจดีว่าคริสตชนใหม่เหล่านี้ต้องมีนายชุมพาบาลที่คอยดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด
คุณพ่อจึงแต่งตั้งครูผามาเป็นครูคำสอนประจำคนแรก จากนั้นจึงส่งครูทาระดี
ต้นปรึกษา, ครูลู รวมทรัพย์, ครูธรรมมาและครูสงบมาสมทบทำให้มีผู้กลับใจเพิ่มมากขึ้น และได้ขอภคินีมาประจำด้วยคือแม่กาลิกซ์และแม่อนัตตาซีอา
ปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) เมื่อคุณพ่ออินทร์ พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าแร่ก็ได้มาประจำที่บ้านหนองห้าง
และเริ่มงานแพร่ธรรมอย่างเต็มตัว มีผู้รับศีลล้างบาปเป็นคริสตชนเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเห็นว่ากลุ่มคริสตชนชาวหนองห้างเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นแล้ว
จึงได้ขยายเขตแพร่ธรรมไปยังบ้านอื่นในละแวกใกล้เคียง คือบ้านกุดบอด,
บ้านปลาขาว, บ้านหนองอีบุตร, บ้านหนองแสง, บ้านนาโก บ้านน้ำคำ บ้านดอนอุ่มรัว และนิคมคำสร้อย บ้านหนองห้างจึงกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการแพร่ธรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
29 เมษายน 2014
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น