วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เราต้องรักพระเจ้าในเพื่อนมนุษย์

 

เราต้องรักพระเจ้าในเพื่อนมนุษย์

อาทิตย์

สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา

ปี B

ฉธบ 6:2-6

ฮบ 7:23-28

มก 12:28-34

บทนำ

ครั้งหนึ่ง (นักบุญ) คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตต้าได้ไปเยี่ยมชายชราคนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในห้องพักโกโลโกโสที่เมืองเมลเบิร์น คุณแม่เทเรซาต้องการทำความสะอาดห้องให้ใหม่ แต่ชายชราบอกคุณแม่ว่าทุกอย่างดีอยู่แล้ว ในห้องนั้นมีตะเกียงสวยงามใบหนึ่งซึ่งฝุ่นจับเกรอะกรัง คุณแม่เทเรซาจึงถามชายนั้นว่า “ทำไมลุงไม่จุดตะเกียงละ” เขาบอกกับคุณแม่เทเรซาว่า “เพื่อใครละ ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมผมเลย” คุณแม่เทเรซาเสนอความเห็น “หากฉันส่งซิสเตอร์มาเยี่ยม ลุงจะจุดตะเกียงไหม” “แน่นอนหากผมได้ยินเสียงคนมา ผมจะจุดมัน” ชายชรารับปาก

สองสามวันผ่านไปชายชราคนนั้นได้ฝากคำพูดมาถึงคุณแม่เทเรซาว่า “แสงสว่างที่คุณแม่ได้จุดในชีวิตของผมยังคงลุกโชนอยู่” งานที่ยิ่งใหญ่ของคุณแม่เทเรซาและของสมาชิกในคณะที่กำลังทำอยู่กับคนทุกข์ยากเดือดร้อน เป็นงานที่ทำเพื่อเห็นแก่พระเยซูเจ้า ความเชื่อและความรักต่อพระเจ้าแสดงออกในงานรับใช้ของพวกเขา คุณแม่เทเรซาบอกสมาชิกเสมอว่า “กระแสเรียกของเราคือการอุทิศตนเพื่อพระเยซูเจ้า งานที่เรากำลังทำกับคนยากจนคือความรักที่เรามีต่อพระเจ้าในกิจการ”

หัวเรื่องสำคัญของบทอ่านวันนี้ คือหลักการพื้นฐานของทุกศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตศาสนา นั่นคือต้องรักพระเจ้าในผู้อื่นและรักผู้อื่นเหมือนรักพระเจ้า คำภาวนา ศีลศักดิ์สิทธิ์ การถวายบูชาและหลักปฏิบัติอื่น ๆ ในศาสนานาเป็นเพียงเครื่องช่วยเราให้เติบโตยิ่งขึ้นในสัมพันธภาพแห่งความรักนี้ บทอ่านแรกเตือนเราให้รักพระเจ้าด้วยการปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ บทอ่านที่สองบอกเราว่า พระเยซูเจ้า สงฆ์ผู้สูงสุดได้มอบถวายพระองค์เองบนไม้กางเขนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา และพระวรสารสอนเราว่า เราต้องตอบสนองความรักของพระเจ้าด้วยการรักผู้อื่น

1.        เราต้องรักพระเจ้าในเพื่อนมนุษย์

พระเยซูเจ้าไม่เพียงตอบปัญหาของบัณฑิตกฎหมาย แต่ยังทรงทำให้ปัญหาที่ค้างคาใจชาวยิวได้รับความกระจ่าง “ท่านจงรักองค์พระเป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน... ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”  (มก 12:30-31) นี่คือบทสรุปของพระวรสาร หรือหลักคำสอนที่สำคัญของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงสรุปบทบัญญัติของพระเจ้าให้เหลือเพียงสองประการ และทรงยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองข้อนี้

พระเยซูเจ้าทรงวางบทบัญญัติทั้งสองประการเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก ในความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยทรงขยายความหมายของคำว่า “เพื่อนมนุษย์” ให้กว้างออกไปสู่มนุษย์ทุกคน “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40) ชีวิตมนุษย์ในโลกจึงเป็นของประทานจากพระเจ้า เพื่อให้เราสามารถเติบโตในความรักของพระเจ้าในเพื่อนมนุษย์ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของบทบัญญัติและต้องไปด้วยกันเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

นักบุญยอห์นอัครสาวก เป็นผู้ที่เข้าใจและอธิบายความสัมพันธ์ของบทบัญญัติทั้งสองประการได้ดีที่สุด ท่านได้ยืนยันกับศิษย์ของท่านจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตว่า “จงรักกันและกัน” เพราะการรักเพื่อนมนุษย์คือหนทางที่นำไปสู่ความรักต่อพระเจ้า “หากผู้ใดกล่าวว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้า แต่จงเกลียดจงชังพี่น้องของตน ผู้นั้นเป็นคนโกหก เพราะผู้ที่ไม่รักพี่น้องผู้ที่เขามองเห็นได้ก็จะไม่สามารถรักพระเจ้าผู้ที่เขามองไม่เห็น (1 ยน 4:20)

2.        บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิต

ประการแรก เราต้องรักพระเจ้า เราสามารถแสดงออกถึงความรักต่อพระเจ้า กตัญญูต่อพระพรต่าง ๆ ที่เราได้รับและยอมรับความจริงว่า เราขึ้นอยู่กับพระองค์ไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง ดังนั้น เราจึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์และภาวนาถึงพระองค์อยู่เสมอ อ่านและรำพึงพระวาจาของพระเจ้าทุกวัน ไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณเป็นประจำเพื่อแสดงให้เห็นว่า เราต้องรักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ต้องยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา ความรักในพระเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตคริสตชนของเรามีความหมาย และสามารถรักผู้อื่นได้

ประการที่สอง เราต้องรักเพื่อนมนุษย์ ความรักต่อเพื่อนมนุษย์คือหน้าที่สำคัญต่อพระเจ้า ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าต้องแสดงออกต่อผู้อื่นตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวที่ออกจากตัวเองและแบ่งปันกับทุกคน มิใช่แต่เพราะพวกพ้อง พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือบุคคลที่เรารักเท่านั้น แต่กับทุกคนแม้กระทั่งศัตรู นั่นหมายความว่า เราต้องช่วยเหลือสนับสนุน ให้กำลังใจ ให้อภัยและภาวนาเพื่อทุกคนโดยไม่แบ่งแยกสีผิว  ชาติพันธุ์ เพศ อายุ หรือสถานะทางสังคม

ประการที่สาม เราต้องรักแบบเดียวกับพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นความรักที่ไม่แบ่งแยก ไม่มีเงื่อนไขและยอมตายเพื่อทุกคน ความรักจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคริสตชน และเป็นเครื่องหมายที่บอกคนอื่นให้รู้ว่า เราเป็นศิษย์ของพระองค์ ดังนั้น ความรักจะต้องเป็นมาตรฐานและเครื่องชี้วัดกิจการทุกอย่างที่เราทำ ดังคำกล่าวของนักบุญเอากุสตินที่ว่า “จงรักและกระทำสิ่งที่ความรักบอกให้ทำ”

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับเราวันนี้ว่า การรักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์คือแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน ซึ่งไม่เพียงตอบคำถามของธรรมาจารย์เท่านั้น แต่ยังได้ให้หลักปฏิบัติสำหรับเราทุกยุคทุกสมัย การรักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์จะต้องเป็นแรงจูงใจ และนำทางคริสตชนในคำพูดและการกระทำทุกอย่างของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการให้อภัย การให้กำลังใจ การร่วมทุกข์ร่วมสุข และการแบ่งปันช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน

พระเยซูเจ้าทรงทำให้ความหมายของความรักนี้ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ด้วยแบบอย่างแห่งความรักของพระองค์บนไม้กางเขน “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย” (ยน 15:13)  เราถูกเรียกร้องให้รักตามมาตรฐานของพระเยซูเจ้า เพื่อเราจะได้ใกล้ชิดและเข้าอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ ศิษย์พระคริสต์ต้องเดินในหนทางแห่งความรักของพระเจ้า ด้วยการมองเห็นพระเจ้าในผู้อื่น และปฏิบัติกิจเมตตาต่อเพื่อนพี่น้องที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ เพื่อเห็นแก่ความรักต่อพระองค์

คุณพ่อขวัญ  ถิ่นวัลย์

ID LINE : dondaniele

วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย-หนองสนุก, สกลนคร

2 พฤศจิกายน 2024

ที่มาภาพ : https://www.avemariaparish.org/mother-teresa-museum

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น