วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

พระสังฆราชปาซอตตีกับมิสซังลาว


พระสังฆราชปาซอตตีกับมิสซังลาว
วันที่ 3 กันยายน ค.. 1950 (.. 2493) เป็นวันมรณกรรมของ พระสังฆราชกาเยตาโน ปาซอตตี (Cajetano PASOTTI) พระสังฆราชองค์แรกของมิสซังราชบุรี ภายหลังแยกออกจากมิสซังกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.. 1930 (.. 2473) โดยได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆรักษ์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.. 1934 (.. 2477) และได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชมิสซังราชบุรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค..1941 (..2484)  พร้อมกับทำหน้าที่ปกครองจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
พระสังฆราชปาซอตตี เกี่ยวข้องอะไรกับมิสซังลาวภาคอีสาน นี่คือความมุ่งหมายของข้อเขียนนี้ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความสำคัญของท่านในห้วงเวลาแห่งความยากลำบากของการเบียดเบียนศาสนา ในระหว่างที่เกิดกรณีพิพาทอินโดจีน อันเป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์ชาวฝรั่งเศสถูกควบคุมตัวออกนอกประเทศ
พระสังฆราชปาซอตตี ได้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือมิสซังลาวภาคอีสาน  โดยได้รับแต่งตั้งจากกรุงโรมให้ทำหน้าที่ดูแลมิสซังลาวตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ค.. 1941 (.. 2484) จนถึงวันที่ 29 มกราคม ค.. 1945 (.. 2488) พร้อมกับรับตำแหน่งผู้แทนของสมเด็จพระสันตะปาปา (Administration Apostolic)  เป็นการชั่วคราว
คุณพ่อเปาโล ศรีนวล ศรีวรกุล
ส่งพระสงฆ์ซาเลเซียนมาช่วยงาน
คุณพ่อเปาโล ศรีนวล ศรีวรกุล อุปสังฆราชมิสซังลาวได้เดินไปพบพระสังฆราชปาซอตตี และคุณพ่อยอห์น กาเซตตา อธิการเจ้าคณะซาเลเซียน เพื่อขอให้ส่งพระสงฆ์มาช่วยงาน และพระสังฆราชปาซอตตี ได้ส่งพระสงฆ์ 2 องค์แรกมาถึงภาคอีสานเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.. 1941 (.. 2484) และมาสมทบอีกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม[1] ปีเดียวกัน
รายนามพระสงฆ์ที่เดินทางมาอีสานประกอบด้วย คุณพ่อยอแซฟ ปีนัฟโฟ, คุณพ่อเกรสปี เดลปีโน, คุณพ่อยอแซฟ ฟอร์ลัสซินี, คุณพ่ออันเดร วิตราโน และ คุณพ่ออังโยโล มาร์เกซี[2] นอกนั้นยังมี คุณพ่อยอห์น กาเซตตา คุณพ่อเอยิดดิโอ บ๊อตตาอิน และคุณพ่อยอร์ช ไปน๊อตตี เดินทางมาเยี่ยมเยียนและช่วยงานเป็นครั้งคราว
จากคำบอกเล่าของ พระอัครสังฆราชลอเรนซ์ คายน์ แสนพลอ่อน และผู้อาวุโสหลายท่านยืนยันตรงกันว่า พระสงฆ์ซาเลเซียนเหล่านั้นได้อาศัยพักตามบ้านคริสตชนที่ไว้ใจได้ เพื่อคอยเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจคริสตชนตามหมู่บ้านต่างๆ ที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนคือ คุณพ่อมาร์เกซี ทำหน้าที่ดูแลคริสตชนที่ท่าแร่โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านของนายคูณ และคุณพ่อฟอร์ลัสซินี ดูแลคริสตชนที่วัดพระตรีเอกานุภาพช้างมิ่ง โดยอาศัยพักอยู่บ้านของนายฮาด ทิพย์ทอง บิดาของกำนันกลึง ทิพย์ทอง ซึ่งแม้จะถูกเบียดเบียนและทำร้ายแต่คุณพ่อไม่ยอมทิ้งชาวช้างมิ่ง
พระสังฆราชปาซอตตี ได้เดินทางมาเยี่ยมมิสซังลาวเป็นทางการรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ถึงวันที่ 21 มิถุนายน ค.. 1942 (.. 2485) และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 12 เมษายน ค.. 1943 (.. 2486)[3] ในการมาครั้งแรกได้เดินทางมาพร้อมกับ คุณพ่อการ์โล กาเซตตา อธิการโรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย ที่ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้แทนประจำภาคอีสาน (Vicar Delegate) และภราดายอแซฟ วัลโตลีนา จากวัดเพลง 
การมาครั้งนั้นพระสังฆราชปาซอตตี ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคุณพ่อศรีนวล ศรีวรกุล, คุณพ่อมาร์เกซี และคริสตชนชาวท่าแร่ คุณพ่อฟอร์ลัสซินี เมื่อทราบข่าวได้เดินทางจากช้างมิ่งเพื่อมาร่วมวางโครงการเยี่ยมคริสตชนตามวัดต่างๆ ที่ถูกรื้อทำลาย ถูกเผา และถูกสั่งปิด หลังจากที่ได้เยี่ยมเยียนวัดใกล้เคียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณพ่อศรีนวล ศีรวรกุล และคุณพ่อคำผง กายราช ได้นำพระสังฆราชปาซอตตี พร้อมคณะออกเดินทางจากท่าแร่ไปวัดนักบุญอันนาหนองแสง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นอาสนวิหารและคงได้แวะเยี่ยมวัดต่างๆ ตามรายทาง
พระสังฆราชปาซอตตี ไปถึงหนองแสงวันที่ 2 มีนาคม ค.. 1943 (.. 2487) โดยอาศัยพักที่บ้านขององเสา เพื่อเยี่ยมเยียนคริสตชนตามวัดต่างๆ ที่อยู่โดยรอบ จนถึงค่ำวันที่ 7 มีนาคม จึงลงเรือแจว 2 ลำล่องไปตามแม่น้ำโขง ก่อนเที่ยงวันที่ 9 มีนาคมจึงถึงที่หมายคือ บ้านสองคอน ดินแดนแห่งมรณสักขี โดยค้างที่สองคอน 2 คืนเพื่อให้ชาวสองคอนได้รับศีลอภัยบาปและร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ โดยอาศัยบ้านของพ่อเฒ่าเคน ว่องไว
กระทั่งคืนที่ 3 ได้เดินทางผ่านป่าไปรอจับรถประจำทางจากอุบลราชธานีที่ผ่านถนนใหญ่เวลาหัวค่ำ แต่มาถึงจริงๆ เกือบเที่ยงคืน พระสังฆราชปาซอตตี และคณะจึงต้องนอนกันริมถนนกลางป่าโดยมีชาวสองคอนที่ไปส่งยืนรายรอบพร้อมกับสุมไฟกันเสือ เนื่องจากบริเวณนั้นมีเสือชุมและเรียกกันว่า นาเสือหลาย
หลุมศพมรณสักขีแห่งสองคอนที่สุสานศักดิ์สิทธิ์
การสอบสวนเรื่องมรณสักขีสองคอน
ระหว่างที่พำนักที่บ้านสองคอน พระสังฆราชปาซอตตี ได้สืบสวนเรื่องราวของมรณสักขีทั้ง 6 ที่พลีชีพเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.. 1940 (.. 2483)  โดยมอบหมายให้คุณพ่อการ์โล ทำหน้าที่สืบสาวราวเรื่องทั้งหมดจากปากคำของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมกับบันทึกเรื่องราวโดยละเอียด โดยเฉพาะหลักฐานชิ้นสำคัญคือ จดหมายของภคินีอักแนสพิลา ทิพย์สุข ที่เขียนถึงนายลือ เมืองโคตร หัวหน้าตำรวจชุดคุ้มครองหมู่บ้าน เพื่อแสดงถึงการยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ ก่อนถูกยิงพลีชีพเป็นมรณสักขีพร้อมกันรวม 6 คนที่ป่าศักดิ์สิทธิ์
คุณพ่อการ์โล ได้เอาจดหมายนี้มาวิจารณ์ทันทีพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน นายเปโตร เที่ยงพร้อม และชาวบ้านคนอื่นๆ รวมทั้งพระสังฆราช (ปาซอตตี) พระสงฆ์อีก 2 องค์ เมื่อลอกคำต่อคำโดยกวดขันแล้ว ก็ได้มอบให้แก่พระสังฆราช เพื่อพิจารณา และดำเนินการฝ่ายพระศาสนจักรต่อไป[4] คุณพ่อการ์โล จึงเป็นคนแรกที่สืบสวนเรื่องราวและเก็บหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการพลีชีพที่สองคอน ทำให้การดำเนินเรื่องเพื่อสถาปนาเป็น บุญราศีทั้ง 7 แห่งประเทศไทย ในเวลาต่อมาง่ายขึ้น 
นอกนั้น ยังมีส่วนสำคัญในการดูแลและให้กำลังใจคริสตชนตามวัดต่างๆ ในเขตจังหวัดนครพนม หนองคายและเลย ตลอดช่วงเวลาของการเบียดเบียน จนถึงวันที่ 9 กันยายน ค.. 1943 (.. 2487) จึงยุติเนื่องจากความผันผวนทางการเมืองระหว่างประเทศ กองทัพญี่ปุ่นได้สั่งให้รัฐบาลไทยกักกันและควบคุมตัวชาวอิตาลีทั่วประเทศ  คุณพ่อการ์โล ถูกกักตัวไว้ที่บ้านของนายฮาด ทิพย์ทอง ขณะที่อยู่ช้างมิ่ง มีตำรวจนั่งอยู่หน้าประตูบ้านติดต่อใครไม่ได้ เว้นแต่เด็กชายคนหนึ่งคอยนำอาหารจากภคินีที่อยู่ในชุดฆราวาสทำมาให้วันละ 3 มื้อ 
วันที่ 23 ตุลาคม ค.. 1943 (.. 2487) คุณพ่อการ์โล พร้อมกับพระสงฆ์ซาเลเซียนทั้งหมดในภาคอีสาน ได้เดินทางไปรวมกันที่วัดบางนกแขวกมิสซังราชบุรีตามความต้องการของรัฐบาลไทย   แต่ก่อนหน้านั้น พระสังฆราชปาซอตตี ได้ส่งคุณพ่อซาวีโอ มนตรี มณีจิตร พระสงฆ์ไทยในมิสซังมาช่วยงานที่วัดหนองแสง จังหวัดนครพนมแล้วตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ค.. 1942 (.. 2485)  โดยอยู่ช่วยงานนานกว่า 10 ปี ส่วนที่วัดท่าแร่ คุณพ่อซามุแอล สมุห์ พานิชเกษม พระสงฆ์ไทยมิสซังกรุงเทพฯจากจันทบุรี ได้สมัครใจมาช่วยงานและรับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าแร่ตั้งแต่ปี ค.. 1944 (.. 2488) จนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.. 1948 (.. 2491)
คณะสงฆ์ไทยของมิสซังลาว (แถวกลางขวาสุดคือคุณพ่อมนตรี มณีจิตร)
โครงการของพระสังฆราชปาซอตตี
ในการเดินทางมามิสซังลาวครั้งที่ 2 พระสังฆราชปาซอตตี  ได้คิดโครงการที่จะให้ภาคอีสานเป็นมิสซัง มอบให้พระสงฆ์พื้นเมืองเป็นผู้ปกครอง และพร้อมจะส่งพระสงฆ์ซาเลเซียนมาช่วยในจำนวนที่ต้องการ  ดังนั้น ในการเดินทางมาท่าแร่อีกครั้งในปี ค.. 1946 (.. 2489) พระสังฆราชปาซอตตี ได้ประชุมคณะสงฆ์ไทยทั้งหมดและเสนอโครงการดังกล่าว ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนท่านจะรบเร้าให้รับโครงการของท่านด้วย เพราะท่านได้บอกให้พระสงฆ์ไทยเหล่านั้นออกเสียงเลือกพระสงฆ์ไทยองค์หนึ่งเป็นพระสังฆราช[5]
เมื่อพระสังฆราชปาซอตตี กลับไปแล้ว พระสงฆ์ไทยได้ประชุมกันเห็นว่ายังไม่พร้อม และตกลงเลือกพระสงฆ์ธรรมทูตคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีสเป็นพระสังฆราช แม้โครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับการตอบสนอง แต่ได้จุดประกายความคิดของพระสงฆ์ไทยทุกคนถึงภาระที่จะต้องแบกรับในอนาคต เป็นที่น่าสังเกตว่าในการไปเยี่ยมวัดต่างๆ ในภาคอีสานของพระสังฆราชปาซอตตี จะต้องส่งจดหมายหรือโทรเลขถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ทราบล่วงหน้าเสมอ เมื่อมาถึงแล้วยังเข้าไปรายงานเอกสารจากรัฐมนตรีมหาดไทยและอธิบดีกรมตำรวจ
นอกจากนั้น ในระหว่างที่เกิดการเบียดเบียน พระสังฆราชปาซอตตี ได้บวชพระสงฆ์พื้นเมืองของมิสซังลาว 3 องค์ คือคุณพ่อยอแซฟ อินทร์ นารินรักษ์ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.. 1941 (.. 2484) คุณพ่อเปโตร วันดี พรหมสาขา ณ สกลนคร และคุณพ่อราฟาแอล คาร โสรินทร์ เมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.. 1943 (.. 2486) ที่วัดน้อยบ้านเณรบางนกแขวก จังหวัดสมุทรสงคราม
นับว่า พระสังฆราชปาซอตตี ได้มีบทสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อมิสซังลาวภาคอีสาน ในห้วงเวลาของความยากลำบากของการเบียดเบียนศาสนา ที่ไม่มีพระสงฆ์ธรรมทูตชาวฝรั่งเศสเหลืออยู่เลย อีกทั้งได้ทำหน้าที่ปกครอง เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจ ทำให้คริสตชนในมิสซังลาวภาคอีสานยังมั่นคงเข็มแข็งในความเชื่อ ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะสำนึกพระคุณ และระลึกถึงท่านเป็นพิเศษในโอกาสครบรอบ 65 ปีแห่งการจากไป
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
3 กันยายน 2015 (โอกาสครบรอบ 65 ปี มรณกรรมของพระสังฆราชปาซอตตี)


[1] เกลาดิอุส บาเย, ประวัติการเผยแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว, แปลโดย เกี้ยน เสมอพิทักษ์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เรือนแก้ว, 2527), หน้า 204
[2]งานซาเลเซียนในภาคอีสานใน อนุสรณ์สุวรรณสมโภชคณะซาเลเซียนแห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ประชาชน, 2520), หน้า 242.
[3] เกลาดิอุส บาเย, ประวัติการเผยแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว, หน้า 204.
[4]งานซาเลเซียนในภาคอีสานใน อนุสรณ์สุวรรณสมโภชคณะซาเลเซียนแห่งประเทศไทย, หน้า 246.
[5] เกลาดิอุส บาเย, ประวัติการเผยแพร่พระศาสนาในภาคอีสานและประเทศลาว, หน้า 216

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น